ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษนโยบายและทิศทางการค้าเสรีของไทย ที่จัดโดย คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภาว่า การเจรจาการค้าเสรีระดับทวิภาคีของรัฐบาลชุดก่อน ทำไปโดยขาดยุทธศาสตร์ ขาดการวิเคราะห์ถึงความสำคัญของการเจรจาที่แท้จริงว่า ควรดำเนินการเจรจาด้านการค้าเสรีกับประเทศใดก่อนหรือหลัง นอกจากนี้ยังไม่มีการดูผลกระทบอย่างถ่องแท้ ไม่ได้นำประโยชน์และภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ไม่ได้วิเคราะห์ถึงผลเสีย ผลดีก่อน คิดแค่เพียงว่าจะผลักดันให้เป็นไปตามความสะดวกมากกว่า
ทั้งนี้การเจรจาเอฟทีเอที่ผ่านมายอมรับว่า บางกลุ่มสินค้าอาจได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเปิดการค้าเสรีในระดับทวิภาคี เช่น กลุ่มโทรคมนาคม แต่สินค้าที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างสินค้าเกษตรกลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งเรื่องนี้ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยรัฐบาลพร้อมติดตามข้อตกลงที่ผิดพลาด ซึ่งจะนำกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคณะกรรมการผู้แทนการค้าไทยเข้ามาหารือติดตามและแก้ไข
นอกจากนี้ จะทำความเข้าใจกับวุฒิสมาชิกเรื่องกรอบกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะกรอบกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 190 ซึ่งการค้าเสรี ต้องทำตามกรอบขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) และกรอบของอาเซียนเป็นหลัก โดยเฉพาะกรอบการเจรจาการค้ารอบใหม่ ซึ่งจะมีการผลักดันให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเปิดรับสินค้าทางการเกษตรให้มากขึ้น และลดลงการแทรกแซงสินค้าเกษตรของประเทศพัฒนาลง
นายนิลสุวรรณ ลีลารัศมี ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า รัฐควรเพิ่มการนำข้อมูลการค้าเสรีมาประสานประโยชน์และเผยแพร่ให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ส่งออกให้รับรู้มากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาการที่ไทยเสียโอกาสในการเจรจาการค้า เพราะขาดความรู้เท่าทัน เช่น กรณีสินค้าทูน่า ภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งไม่สามารถนำข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้ามาปฎิบัติได้ แม้จะยอมลดภาษีให้ก็ตาม
“หากจะวัดความสำเร็จจากเอฟทีเอ ตัวชี้วัดที่เห็นง่ายที่สุดคือปริมาณการค้า และดุลการค้า ซึ่งเอฟทีเอทั้ง 8 ฉบับที่ไทยมีอยู่ มีมากถึง 6 ฉบับไทยได้ดุลการค้า อีก 2 ฉบับ ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น เพราะเข้าใจว่าที่ขาดดุลทั้ง 2 ประเทศเป็นเพราะแหล่งนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้า”
ทั้งนี้ การเยียวยาทำได้ใน 2 ส่วนคือการเยียวยาจากภาครัฐ และการเยียวยาจากกลุ่มเอกชนด้วยกันเอง แต่พบว่าที่ผ่านมาทั้งสองส่วนไม่ได้ดำเนินการประสานกันอย่างเต็มที่ เช่น กรณีเอฟทีเอกับอาเซียน หรือ อาฟต้า ที่ปีหน้าไทยต้องเปิดเสรีข้าว ไม่ได้นำผลศึกษาผลกระทบจากเอฟทีเอของสอท. มาใช้
นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีโครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า (กองทุน เอฟทีเอ ) โดยมีงบดำเนินการ ปี 50-52 รวม 240 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านถึงปัจจุบัน มีโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 17 โครงการ วงเงินประมาณ 125 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าเกษตร 11 โครงการ เช่น ปลาป่น ชา สัม โคเนื้อ โคนม สินค้าอุตสาหกรรม 5 โครงการ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องหนัง ยาแผนปัจจุบัน และ บริการ 1 โครงการคือ การบริการอาหาร ส่วนทิศทางการเยียวยาปี 53 คาดว่าจะใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท ขณะนี้มีสินค้าสนใจขอรับความช่วยเหลือแล้ว ได้แก่ นมโคสดแท้ สับปะรด ปลาน้ำจืด โคเนื้อ รองเท้า ข้าว ธุรกิจสปา
"ที่ผ่านมาประสบปัญหาคือผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมและไม่เข้าใจการจัดทำโครงการเพื่อขอความช่วยเหลือสนับสุน และผู้ประกอบการบางส่วนไม่มีการรวมกลุ่ม จึงไม่มีความเข้มแข็งและไม่เข้าข่ายเงื่อนไขการขอทุน รวมถึงปัญหาเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปีมีจำกัด”
ปัจจุบันไทยมีการเจรจาเอฟทีเอแล้ว อาฟต้า เริ่มเมื่อ 1 ม.ค. 36 ไทย-ออสเตรเลีย 1 ม.ค. 48 ไทย-นิวซีแลนด์ 1 ก.ค. 48 อาเซียน-จีน (สินค้า) 1 ก.ย. 47 ไทย-ญี่ปุ่น 1 พ.ย. 50 อาเซียน-ญี่ปุ่น 1 มิ.ย. 52 ส่วนข้อตกลงที่เจรจาเสร็จสิ้นแล้ว รอกระบวนการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ อาเซียน-เกาหลี อาเซียนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์.
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น