วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไอซีทีไฟเขียวใบอนุญาต e-Payment 67 ราย

ไอซีทีไฟเขียวใบอนุญาต e-Payment 67 ราย

Pic_22539

เป็นผู้ให้บริการทางการเงิน 33 ราย ขอขึ้นทะเบียน 8 ราย ระนองรักษ์ลั่น 3G พร้อมใช้ทัน 5 ธ.ค.52 เผยนายกฯ แนะทีโอทีทำทีโออาร์ภาษาอังกฤษ รองรับต่างชาติ...

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในฐานะประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ e-Payment 8 ประเภท อยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 ได้แก่ การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) บริการเครือข่ายบัตรเคดิต บริการเครือข่ายอีดีซี บริการสวิตช์ชิ่งในการชำระเงิน บริการหักบัญชี บริการชำระดุล การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือผ่านเครือข่าย และบริการชำระเงินแทน

รมว.ไอซีที กล่าวต่อว่า พระราชกฤษฎีกาฯ กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลธุรกิจ e-Payment และผู้ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจฯ ตามประเภทธุรกิจท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ บัญชี ก บัญชี ข และบัญชี ค จะต้องดำเนินการแจ้งให้ทราบ ขอขึ้นทะเบียน หรือขอรับใบอนุญาต ส่วนผู้ให้บริการดังกล่าวก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาฯ มีผลบังคับใช้ (14 ม.ค. 52) และประสงค์จะให้บริการต่อไป ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานั้น ทางคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้รับแจ้งว่า มีผู้ให้บริการที่เข้าข่ายการควบคุมดูแลยื่นแบบแจ้งให้ทราบ ขอขึ้นทะเบียน และขอรับใบอนุญาต รวมทั้งสิ้น 67 ราย แบ่งเป็น ขอขึ้นทะเบียน 8 ราย และขอรับใบอนุญาต 70 ราย โดยมีผู้ให้บริการบางรายประกอบธุรกิจมากกว่า 1 ประเภท

ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ กล่าวอีกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เสนอข้อมูลและสรุปผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการธุรกรรมฯ เพื่อพิจารณาออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจแก่ผู้ให้บริการทั้ง 67 ราย ด้วยเกณฑ์ในการพิจารณา ได้แก่ ลักษณะและรูปแบบการให้บริการ คุณสมบัติของนิติบุคคลที่ยื่นขอรับใบอนุญาต รายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมตามประเภทธุรกิจ โดยคณะกรรมการธุรกรรมฯ ได้พิจารณาและออกใบอนุญาตให้ทั้งสิ้น จำนวน 102 ฉบับ แบ่งเป็นผู้ให้บริการที่เป็นสถาบันการเงิน 33 ราย จำนวนใบอนุญาต 60 ฉบับ และผู้ให้บริการที่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงิน 34 ราย จำนวนใบอนุญาต 42 ฉบับ

รมว.ไอซีที กล่าวด้วยว่า ได้เข้าพบและปรึกษากับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีการเปิดให้บริการเครือข่ายเทคโนโลยีระบบ 3G ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดยนายกรัฐมนตรีให้คำแนะนำว่า ทีโอทีควรทำร่างการประมูล 3G (ทีโออาร์) เป็นภาษาอังกฤษเพื่อเปิดกว้างให้ต่างชาติที่สนใจร่วมประมูลและลงทุน ผ่านเว็บไซต์ของทีโอที ส่วนการกู้เงินภายในประเทศ จากการทำสัญญาระหว่างประเทศ หรืออี-ออคชั่นภายในประเทศ จากเดิมที่ตั้งวงเงินไว้ 2.9 หมื่นล้านบาทนั้น คาดว่า ทีโอทีจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต้นๆ เนื่องจาก ค่าวัสดุอุปกรณ์มีราคาต่ำลง ส่วนการเปิดให้บริการนั้น เชื่อว่า ทีโอทีจะสามารถเปิดให้บริการเครือข่าย 3G ได้ทันวันที่ 5 ธันวาคม 2552 อย่างแน่นอน โดยในเบื้องต้น จะเปิดให้ทดลองใช้ภายในเดือนพฤศจิกายน

http://www.thairath.co.th/content/tech/22539
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จีนเร่งพัฒนาการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์

จีนเร่งพัฒนาการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2552 09:29 น.
พนักงานที่โรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ในมณฑลเจียงซู - ไชน่าเดลี่
       ไชน่า เดลี่ – จีนตั้งเป้าพัฒนาพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้มีกำลังผลิต 2 กิกะวัตต์ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มขึ้น 15 เท่าตัวจากกำลังผลิตในปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลอนุมัติเงินอุดหนุนพลังงานทางเลือก 20 หยวนต่อวัตต์
       

       แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับข้อมูลเผยว่า สำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีน ตัดสินใจขยายกำลังผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ภายในประเทศในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันรัฐบาลเตรียมเงินไว้รับซื้อพลังงานจากแสงอาทิตย์ในราคา 1.09 หยวน/กิโลวัตต์
       
       จีนเป็นประเทศหนึ่งที่กำลังเร่งพัฒนาพลังงานทางเลือกมาทดแทนน้ำมัน และแผนพัฒนาพลังงานยังถูกผนวกไว้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย โดยก่อนหน้านี้จีนได้ตั้งเป้าพัฒนากำลังผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ 18 กิกะวัตต์ภายในปี 2563 ต่อมาก็เปลี่ยนเป้าหมาย ว่าจะผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้ได้ 20 กิกะวัตต์ภายในปี 2563
       
       สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์นั้น นายเสิ่น เหยียนปอ ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ภูมิอากาศแห่งชาติ กล่าวว่า มีอยู่ 6 มณฑลทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนที่มีสภาพอากาศเหมาะสมเนื่องจากมีแดดจัด นั่นคือ เขตมองโกเลียใน เขตปกครองตนเองชนเผ่าอุยกูร์มณฑลซินเจียง นอกจากนี้ยังมี มณฑลกันซู่ มณฑลหนิงเซี่ย มณฑลชิงไห่ และมณฑลซันซี
       
       นายจาง ส้วย นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจาก Sinolink Securities กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ภายในประเทศ และยังช่วยสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตแผงโซล่าร์ทั้งหมด
       
       เป็นที่คาดกันว่า บริษัทผลิตแผงควบคุมไฟฟ้าชั้นนำของจีนที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว คือ ซันเทค อิงลี่ กรีน เอเนอร์จี และ แอลดีเค โซลาร์
       

       อุตสาหกรรมแผงโซลาร์ของจีนเริ่มซบเซามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพราะถูกแบงก์ระงับการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากวิกฤตด้านการเงิน ขณะเดียวกันแผงโซล่าร์ที่มีล้นตลาดก็ทำให้ราคาลดลงอย่างมาก
       
       นอกจากนี้ ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้อนุมัติเงินอุดหนุนการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ที่ 20 หยวน/วัตต์ สำหรับโรงผลิตที่มีกำลังผลิต 50 กิโลวัตต์ขึ้นไป ส่วนการผลิตบนภาคพื้นดิน รัฐบาลจะอุดหนุนด้วยการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ (feed-in tariff) โดยตั้งราคารับซื้อไว้ที่ 1.09 หยวน /กิโลวัตต์
       

       “ราคาที่ตั้งไว้ 1.09 หยวน ถือว่าไม่เพียงพอสร้างรายได้ให้แก่ผู้ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ เพราะราคาที่ช่วยให้ผู้ผลิตมีกำไรจะอยู่ที่ 1.3 ถึง 1.5 หยวน /กิโลวัตต์” นายหลี่ จุนเฟิง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติ ให้ความเห็น และยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลจำเป็นต้องปรับราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ หากต้องการให้ผู้ผลิตภายในประเทศพัฒนาพลังงานชนิดนี้รวดเร็วขึ้น

http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075664


--
  ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

'จีน, รัสเซีย, อเมริกา' กับมหายุทธเอเชียกลาง


‘จีน, รัสเซีย, อเมริกา’ กับมหายุทธเอเชียกลาง
โดย สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ 16 มิถุนายน 2551 12:09 น.
เอเชียกลางภูมิภาคที่สามมหาอำนาจ จีน, รัสเซีย และอเมริกาเข้าไปพัวพัน
       ในการเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟแห่งรัสเซียเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานั้น ได้มุ่งมาที่จีนเป็นเป้าหมายหลัก  การเยือนดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 23 พ.ค.เป็นภาพสะท้อนที่สื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์อันหวานชื่นว่า “รัสเซียให้ความสำคัญกับจีนมาก” อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเดินทางมาเยือนจีนเมดเวเดฟได้แวะเยือนคาซัคสถาน ซึ่งนักวิเคราะห์ชิ้ว่า “เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังจีนและตะวันตก ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลในเอเชียกลาง”1
       
       ท่วงทีของประธานาธิบดีรัสเซียชี้ชัดว่า ภูมิภาคเอเชียกลางที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย (เรียกได้ว่าพอพูดชื่อแล้วยังคิดไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก) กำลังเป็นสมรภูมิเดือดที่มีมหาอำนาจเข้าไปพัวพันในเรื่องผลประโยชน์ทั้ง จีน, สหรัฐฯ และรัสเซีย นอกจากนี้แต่ละประเทศในภูมิภาคก็ยังมีปัญหาการเมืองภายใน กระทั่งมีการกล่าวว่า “ภูมิภาคนี้จะเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้งแห่งใหม่ของโลกต่อจากตะวันออกกลาง”
       
       กล่าวสำหรับจีนแล้ว เอเชียกลางซึ่งประกอบด้วยประเทศอุซเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน, ทาจิกิสถาน, คีร์กีซสถาน และคาซัคสถาน เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและพลังงานที่สำคัญ เนื่องจากเอเชียกลางเป็นทางเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชียใต้ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรน้ำมัน และที่สำคัญที่สุดคือ มีพรมแดนติดกับเขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์ ซินเจียง (ซินเกียง) ซึ่งเป็นพื้นที่ล่อแหลมทางด้านความมั่นคงของจีน ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2008 ก็มีข่าวใหญ่เรื่องเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายในเมืองอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของซินเจียง
       
       ปัญหาก่อการร้ายซินเจียงกับสัมพันธ์เอเชียกลาง
       
       ซินเจียงเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ยิ่งใหญ่มาก่อน ก่อนที่จะกลายมาส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีนในปัจจุบัน โดยค่อยๆถูกผนวกกลืนกลายมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ และถูกรวมเข้ามาอย่างเด็ดขาดหลังพรรคคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจในปี 1949 อย่างไรก็ตามสำนึกเกี่ยวกับวัฒนธรรม และความรุ่งเรืองในฐานะส่วนหนึ่งของอดีตรัฐที่ยิ่งใหญ่ นาม “เตอร์กีสถาน” ซึ่งเป็นประตูเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจและอารยธรรมตะวันออกกับตะวันตก ทำให้ชาวอุยกูร์ส่วนหนึ่งรวมตัวเป็น องค์การปลดปล่อยเตอร์กีสถานตะวันออก (ETLO) และ ขบวนการอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก (ETIM) เพื่อต่อต้านรัฐบาลจีน
       
       โดยเบื้องหลังขององค์การเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลผลิตของนโยบายต่างประเทศจีนยุคสงครามเย็น ที่ช่วงหนึ่งขัดแย้งกับโซเวียต ช่วงทศวรรษ 1980 จีนจึงร่วมกับอเมริกาฝึกนักรบและสนับสนุนขบวนการอิสลาม ต่อต้านการยึดครองอัฟกานิสถาน2 ของโซเวียต โดยทางการจีนได้ส่งที่ปรึกษานับร้อยรายจากองทัพปลดแอกเข้าไปฝึกนักรบในค่ายที่ปากีสถาน และซินเจียง โดยนักรบที่ถูกฝึกมีชาวอุยกูร์จากซินเจียงรวมอยู่ด้วย ความร่วมมือกับสหรัฐฯเพื่อต่อต้านโซเวียตทำให้ในที่สุดเกิดคนอย่างอุซามะห์ บิน ลาดิน และองค์กรก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์3 ที่กลับมาหลอกหลอนจีน โดยทางการจีนอ้างว่าอัลกออิดะห์มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายในซินเจียง
       
       หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รัฐต่างๆในเอเชียกลางได้รับเอกราช เป็นรัฐอิสระซึ่งภาวการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาตร์ (geopolitic) ทำให้จีนต้องเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศใหม่ จากเดิมที่มุ่งเน้นต่อต้านโซเวียต การเกิดขึ้นของรัฐใหม่ยิ่งทำให้ชาวอุยกูร์เกิดแรงบันดาลใจที่จะมีรัฐอิสระเป็นของตนบ้าง ชนชาวอุยกูร์ในรัฐเกิดใหม่เช่น คาซัคสถาน, คีร์กิซสถาน และทาจิกิซสถาน ได้ร่วมสนับสนุนต่อสู้เพื่อสถาปนา “เตอร์กีสถานตะวันออก”4
       
       อย่างไรก็ตามทางการจีนได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสยบขบวนการแบ่งแยกดินแดน ด้วยการปราบปรามอย่างหนักหน่วง พร้อมกับเริ่มยุทธศาสตร์พัฒนาภาคตะวันตก (Great Western Development Strategy) ในปี 2000 สร้างความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในซินเจียงด้วยการลงทุน และอพยพชาวฮั่นมาตั้งถิ่นฐานเพื่อกลืนกลายชนชาติอุยกูร์ ทว่ายุทธศาสตร์พัฒนาภายในเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาซินเจียงได้ เนื่องจากปัญหาการก่อการร้ายมีลักษณะข้ามพรมแดน และขบวนการเหล่านี้ก็อาศัยฐานประเทศในเอเชียกลางเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังและปฏิบัติการ อาทิเมื่อปี 2002 นักการทูตจีนระดับสูง และนักธุรกิจถูกสังหารอย่างอุกอาจกลางกรุงบิชเกค ประเทศคีร์กีซสถาน5 ฉะนั้นจีนจึงต้องอาศัยความร่วมมือกับประเทศในเอเชียกลางเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายในซินเจียง

ชาวมุสลิม อุยกูร์ ขณะสวดภาวนา นอกมัสยิดในอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์ ซินเจียง
       บุกเอเชียกลางเพื่อความมั่นคงพลังงาน
       

       นอกจากผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแล้วจีนยังเล็งเห็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน โดยหวังพึ่งน้ำมันจากเอเชียกลางลดการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง ทั้งโดยการลงนามความร่วมมือด้านพลังงานกับรัฐและเอกชนต่างๆในภูมิภาคนี้ พร้อมทั้งริเริ่มโครงการเครือข่ายท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะช่วยให้การขนส่งน้ำมัน สามารถทำการขนผ่านท่อจากอิหร่านผ่านเอเชียกลางสู่ซินเจียง ซึ่งจะเป็นหลักประกันด้านความมั่นคง เนื่องจากการขนส่งน้ำมันส่วนใหญ่ใช้การขนส่งทางทะเล โดยใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาก่อนที่จะเข้าสู่จีนทางมณฑลชายฝั่งด้านตะวันออก ทว่าเส้นทางดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงคือ การนำเข้าน้ำมันของจีนกว่า 90% อาศัยเรือบรรทุกน้ำมันเป็นพาหนะสำคัญ และเรือบรรทุกน้ำมันของจีนกว่า 80%6 เดินทางผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีปัญหาโจรสลัดชุกชุม นอกจากนี้ช่องแคบมะละกายังอยู่ภายใต้อิทธิพลการลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ ชางกี ประเทศสิงคโปร์7 และถึงแม้จะผ่านช่องแคบมะละกามาได้โดยปราศจากปัญหา ทว่าหากเกิดปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน การขนส่งน้ำมันขั้นสุดท้ายลงที่มณฑลชายฝั่งตะวันออกก็อาจสะดุด8
       
       นอกจากนี้การเชื่อมโยงซินเจียงเข้ากับเอเชียกลางด้วยการช่วยลงทุนพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบก จีนก็หวังรื้อฟื้นเส้นทางสายไหมในเอเชียกลาง ซึ่งจะสามารถทำให้ซินเจียงสามารถระบายสินค้าออกไปยังเอเชียกลาง สู่ยุโรป และตะวันออกกลาง9 และหากมองให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า โครงการเชื่อมโยงทางรถไฟยังมีเหตุผลเบื้องหลังสำหรับเป็นทางเลือกในการขนส่งน้ำมัน แทนที่การพึ่งพาท่อขนส่งเพียงอย่างเดียว
       
       มหายุทธเอเชียกลาง เมื่อมังกรถูกปิดล้อม
       

       อย่างไรก็ตามนับแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 สหรัฐฯได้รณรงค์สงครามต่อต้านการก่อการร้าย เข้าไปปฏิบัติการในอัฟกานิสถานและอิรัก แถมยังได้กระจายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและทหาร เข้าไปช่วงชิงทรัพยากรในเอเชียกลาง ฐานทัพอเมริกันผุดขึ้นในแทบทุกประเทศในเอเชียกลางจากอุซเบกิสถาน, คาซัคสถานจนถึงคีร์กิซสถานซึ่งมีพรมแดนจ่อติดกับจีนโดยตรง
       
       แม้จีนจะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อหวังผลทำลายการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในซินเจียง ทว่าการปรากฏตัวของสหรัฐฯได้สร้างความวิตกให้กับจีนอย่างยิ่ง กระทั่งจีนกับรัสเซียต้องทำการซ้อมรบในปี ค.ศ. 2005 ภายใต้รหัส “Peace Mission 2005”
       
       การซ้อมรบดังกล่าวได้สร้างกระแสความตื่นตระหนกให้กับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างรุนแรง เนื่องจาก กองทัพ, บก, เรือ และอากาศ ของรัสเซียได้ทำการเคลื่อนพลจากเมืองท่าวลาดิวอสต็อค ชายฝั่งทะเลตะวันออกที่ติดกับทะเลญี่ปุ่นและอยู่ห่างประเทศญี่ปุ่นไม่กี่ไมล์ทะเล มาบรรจบกับกองทัพจีนจากมณฑลซันตงในคาบสมุทรเจียวตงบริเวณฝั่งทะเลเหลือง ซึ่งการซ้อมรบดังกล่าวมิได้สอดคล้องกับข้ออ้างที่ทั้งสองฝ่ายประกาศไว้ว่า เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย10 เพราะหากจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายคือ การต่อต้านก่อการร้ายจริง สมรภูมิสำหรับการซ้อมรบน่าจะอยู่บริเวณตะวันตกของทั้งสองประเทศมากกว่า ทว่าการใช้พื้นที่บริเวณภาคตะวันออกในการซ้อมรบครั้งนี้ สะท้อนถึงนัยความอึดอัด ที่จีนและรัสเซียมีต่อการปรากฏตัวทางทหารและการช่วงชิงทรัพยากรในเอเชียกลางของสหรัฐอเมริกา
       
       ทางด้านสองพันธมิตรจีน-รัสเซีย ที่มาจับมือต้านอเมริกาก็มีความขัดแย้งคุกรุ่นอยู่ภายใน หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย รัสเซียซึ่งสืบทอดมรดกต่อจากโซเวียตอยู่ในฐานะอ่อนแอ ไม่สามารถแผ่อิทธิพลเข้ามายังเอเชียกลางได้อย่างเต็มที่ จึงต้องอาศัยร่วมมือกับจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากการที่ รัสเซียยอมจับมือกับจีนก่อตั้งองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) เมื่อปี 2001 โดยมีสมาชิกคือ จีน, รัสเซีย, อุซเบกิสถาน, คาซัคสถาน, ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและเสริมความร่วมมือในภูมิภาค เพราะรัสเซียเองก็ประสบปัญหาการก่อการร้ายของชนกลุ่มน้อยเช่นเดียวกับจีน
       
       อย่างไรก็ตามภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน รัสเซียมีนโยบายที่จะรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่เฉกเช่นที่เคยมีในสมัยสหภาพโซเวียต ซึ่งรวมถึงการแผ่อิทธิพลในเอเชียกลาง ซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของโซเวียตมาก่อน รัสเซียซึ่งเริ่มเติบโตจากการค้าทรัพยากรพลังงาน เริ่มมองเห็นการแผ่อิทธิพลอย่างเงียบๆของจีน ด้วยการค้าอาวุธ, ให้เงินช่วยเหลือ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับเอเชียกลาง11 เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย
       
       ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจุบัน ดิมีทรี เมดเวเดฟ ก็มิได้ดำเนินนโยบายต่างจากปูติน หลายฝ่ายกลับมองว่าเมดเวเดฟเป็นร่างทรงของปูตินด้วยซ้ำ ฉะนั้นอุดมการณ์รื้อฟื้นความยิ่งใหญ่จึงสืบทอดต่อมา และการเยือนคาซัคสถานก่อนเยือนจีนก็เป็นการสะท้อนท่าทีของรัสเซียได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการย้ำเตือนสหรัฐฯและจีนว่า “นี่คือเขตอิทธิพลของรัสเซีย”
       

       การรุกเข้าไปในเอเชียกลางเพื่อผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงในซินเจียง ซึ่งตอนนี้ถูกแปรเปลี่ยนไปเน้นมิติด้านความมั่นคงทางพลังงานมากกว่า จึงต้องเผชิญกับศึกรอบด้าน นอกจากการปะทะกับสหรัฐฯและรัสเซียแล้ว การดำเนินนโยบายบางอย่างเพื่อพัฒนาซินเจียง ยังถูกบางประเทศในเอเชียกลางต่อต้านอาทิ โครงการผันน้ำจากแม่น้ำอีลี่ และแม่น้ำอีร์ติช ซึ่งไหลผ่านจีนสู่คาซัคสถาน เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำมันในอูหลู่มู่ฉี ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างคาซัคสถานกับจีน12 เหมือนกับที่โครงการหลากหลายในแม่น้ำโขงทำให้จีนต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้านในอุษาคเนย์
       
       เอเชียกลางจึงเป็นพื้นที่มหายุทธ ที่เต็มไปด้วยการปะทะระหว่างมหาอำนาจ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่ายๆ การดำเนินนโยบายของจีนจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง แม้เงื่อนไขสภาวการณ์ปัจจุบันจะบีบบังคับให้รัสเซียร่วมมือกับจีนอย่างแน่นแฟ้น เพื่อต่อต้านสหรัฐฯ ทว่าหากเงื่อนไขดังกล่าวหมดไปเมื่อไร บางทีความขัดแย้งที่ซุกซ่อนอยู่อาจปรากฏชัดมากขึ้น กระทั่งคลี่คลายให้เห็นความตึงเครียดภายในภูมิภาคที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตะวันออกกลาง
       
       

       
       เอกสารอ้างอิง
       
       [1] ผู้จัดการออนไลน์, ‘เมดเวเดฟ’ ปิดฉากเยือนจีน ย้ำส่งเสริมความสัมพันธ์ 2 ยักษ์, [ http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000060480], 25 พฤษภาคม 2551
       [2] บางที่ก็จัดนับอัฟกานิสถานป็นส่วนหนึ่งของเอเชียกลาง
       [3] Vincent Kolo, “The national question in Xinjiang,” [http://socialistworld.net/eng/2008/01/09chinaa.html], 9 January 2008.
       [4] Ramakant Dwivedi, “China’s Central Asia Policy in Recent Times,”
       [http://www.silkroadstudies.org/new/docs/CEF/Quarterly/
       November_2006/Dwivedi.pdf
], 15 May 2008.
       [5] จันทร์จุฑา สุขขี, “จีนกับปัญหาผู้ก่อการร้ายในซินเจียง,” มติชน, 8 กันยายน 2548, 7.
       [6] C. Fred Bergsten et al., eds., China: The Balance Sheet (New York: Public Affairs, 2006), 130.
       [7] Will Hutton, The Writing On The Wall: China And The West In The 21st Century  (London: Little, Brown, 2006), 236.
       [8] Ramakant Dwivedi, “China’s Central Asia Policy in Recent Times,”
       [http://www.silkroadstudies.org/new/docs/CEF/Quarterly/
       November_2006/Dwivedi.pdf
], 15 May 2008.
       [9] “Xinjiang to Forge Overland Channel for Energy Transmission,” [http://www.china.org.cn/english/
       environment/199295.html
],17 February 2007.
       [10] ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์, แผนพิชิตมังกร (กรุงเทพฯ: openbooks, 2549), 62-63.
       [11] Niklas Swanstrom, “China and Central Asia: a new Great Game or traditional vassal relations?,”
        [http://www.silkroadstudies.org/docs/publications/
       2005/JCC_Swanstrom.pdf
], 15 May 2008.
       [12] Ramakant Dwivedi, “China’s Central Asia Policy in Recent Times,”
       [http://www.silkroadstudies.org/new/docs/CEF/Quarterly/
       November_2006/Dwivedi.pdf
], 15 May 2008.
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000063729

--
  ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

วิจัยชี้วินมอเตอร์ไซค์-แม่ค้าหวั่นอิทธิพล



-- Pic_18063

เผยวิจัย "การศึกษาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานนอกระบบ : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และผู้ค้าขายตลาดนัด ในเขตกทม." จี้รัฐจัดสวัสดิการเข้าถึงแรงงานนอกระบบ  กระจายเงินกู้สู่รากหญ้า...

นายสมศักดิ์ นัคลาจารย์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยงานวิจัย "การศึกษาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานนอกระบบ : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และผู้ค้าขายตลาดนัด ในเขตกรุงเทพมหานคร" ว่า ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 500 คน สรุปพบว่า ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างร้อยละ 94.2 เป็นชายอายุ 31-40 ปี มีชั่วโมงการทำงานเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง รายได้วันละ 301-400 บาท ร้อยละ 16.8 ทำอาชีพเสริมได้วันละ 201-300 บาท ขณะที่รายจ่ายวันละ 201-300 บาท ประมาณครึ่งหนึ่งมีเงินออมเดือนละ 1,001-2,000 บาท ด้านความมั่นคงอาชีพ ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องเงินทุน รองลงมาคือการแย่งที่ประกอบอาชีพ ปัญหาเรื่องกฎหมาย ปัญหาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอิทธิพล และเพื่อนร่วมอาชีพ ร้อยละ 80 ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปี สวัสดิการที่อยากได้จากรัฐเรียงตามลำดับคือ ที่อยู่สำหรับผู้มีรายได้น้อย การรักษาพยาบาลฟรี เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเงินสงเคราะห์บุตร

สำหรับผู้ค้าขายตลาดนัด กลุ่มตัวอย่าง 2 ใน 3 เป็นเพศหญิง อายุ 31-40 ปี ส่วนใหญ่ทำงานต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน รายได้วันละ 401-500 บาท ผู้ทำอาชีพเสริมมีร้อยละ 13.8 ได้วันละ 201-300 บาท มากกว่าครึ่งหนึ่งมีการออมอยู่ระหว่าง 2,001-3,000 บาทต่อเดือน ปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือเงินทุนในการประกอบอาชีพ การเช่าช่วงสิทธิสถานที่ตั้งขาย ปัญหาอื่นคืออาชีพไม่มีกฎหมายรองรับ เจ้าหน้าที่รัฐเข้มงวด บางครั้งถูกรีดไถ ทั้งนี้ ร้อยละ 80 ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปี ความต้องการสวัสดิการคือที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาลฟรี เงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินสงเคราะห์บุตร

สำหรับข้อเสนอแนะ ควรมีหลักประกันสำหรับแรงงานนอกระบบในการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานของรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อยทั่วไป สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรผนวกแรงงานนอกระบบกลุ่มต่างๆ เป็นเป้าหมายในการดูแลเรื่องสุขภาพ ทบทวนระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการของผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลควรส่งเสริมนโยบายการกระจายเม็ดเงินกู้แก่ประชาชนระดับรากหญ้า.

ทีมข่าวการศึกษา

http://www.thairath.co.th/content/edu/18063
  ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

มรภ.จันทรเกษม ผุด"ต้นกล้าอาชีพ"

วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6795 ข่าวสดรายวัน


มรภ.จันทรเกษม ผุด"ต้นกล้าอาชีพ"




อาจารย์ณัฏฐกรณ์ ปะพาน ผู้ประสานงานโครงการต้นกล้าอาชีพ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มศักยภาพให้ผู้ว่างงานมีความสามารถและทักษะเพิ่มขึ้น อีกทั้งช่วยสนับสนุนผู้ว่างงาน ผู้ถูกเลิกจ้าง และผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ที่ยังไม่มีงานทำสร้างรายได้ด้วยตนเอง จึงจัดโครงการต้นกล้าอาชีพ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมขานรับนโยบายครั้งนี้ เพื่อบริการวิชาการแก่สังคม

"โครงการต้นกล้าอาชีพ ไม่เพียงทำให้ผู้ ว่างงานมีความรู้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการพัฒนาศักยภาพ เปิดช่องทางในการทำงานให้กว้างขึ้น โดยมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของแต่ละคณะเป็น ผู้ให้การฝึกอบรมตามหลักสูตรที่เปิด นอกจากนี้ ผู้สมัครยังได้รับเบี้ยเลี้ยงระหว่างการอบรม ค่าพาหนะ เงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพอีกด้วย" อ.ณัฏฐกรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ สมัครผ่านทางเว็บไซต์ www.tonkla-archeep.com หรือสมัครด้วยตนเองได้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 0-2942-6900-99 ต่อ 2037, 5004 และ 6001

หน้า 30

McKinnon & Clarke รุกตลาดก๊าซคาร์บอนในไทย

McKinnon & Clarke รุกตลาดก๊าซคาร์บอนในไทย

รายงานโดย :ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ:
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระแสความตื่นตัวต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาสภาวะโลกร้อน เข้ามามีบทบาทต่อความเคลื่อนไหวของธุรกิจทั่วโลกมากขึ้นตามลำดับ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสิ่งแวดล้อมโดยรวมที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรแต่ละมุมโลก ทำให้กลุ่มธุรกิจต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ถูกมองว่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำลายสิ่งแวดล้อมแหล่งใหญ่ที่สุด ควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวมผ่านธุรกิจที่ทำอยู่ 

บริษัท McKinnon & Clarke ที่ปรึกษาด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการทั่วโลก ได้นำเสนอการบริการ บริหารจัดการก๊าซคาร์บอน (Carbon Management) เป็นบริการที่เปิดตัวเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการ ลดการปล่อยก๊าซคาร์ บอนของสถานประกอบการแต่ละแห่ง เพื่อให้บริษัทนั้นสามารถรักษาสภาพแวดล้อมและเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจมีศักยภาพยิ่งขึ้น

คริส ดาเวนพอร์ต ผู้จัดการบริหารกลุ่มด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม บริษัท McKinnon & Clarke กล่าวว่า โครงการให้บริการบริหารจัดการก๊าซคาร์บอนเป็นโครงการใหม่ที่ให้บริการแก่ผู้ประกอบการทั่วโลก ทั้งประเทศในแถบยุโรปและเอเชีย เนื่องจากมองเห็นถึงการเจริญเติบโตของธุรกิจบริการประเภทนี้ และมองว่าจะมีผู้ประกอบการที่ต้องการใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในโซนเอเชีย

ขณะนี้ประเทศในแถบยุโรปที่มีพันธสัญญาต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามพิธีสารเกียวโต ที่มีเป้าหมายว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้ 5.2% จากเดิมที่เคยปล่อยอยู่ในปี 2533 ให้ได้ภายในปี 2555 และต้องลดให้ได้ 30% ภายในปี 2563 และ 50% ภายในปี 2593

ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถเลือกเข้ามาลงทุนในประทศที่กำลังพัฒนา เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ที่นำมาซึ่งการลดก๊าซคาร์บอนและเกิดคาร์บอนเครดิต ค่าใช้จ่ายในการลงทุนถูกกว่าลงทุนทำเองในยุโรป

สำหรับประเทศในโซนเอเชียหรือประเทศแอฟริกาใต้ ไม่ได้มีกฎบังคับให้ต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทำให้ประเทศอื่นๆ ที่มีพันธสัญญาต้องการเข้ามาสร้างคาร์บอนเครดิต โดยเข้ามาลงทุนใน โปรเจกต์ว่าด้วยกลไกพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) ในประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆ และนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ “ลด” ได้จากโครงการเหล่านี้ไปขอใบรับรองในรูปของ CERs (Certified Emission Reductions)

CERs นี้เองเป็นคาร์บอนเครดิตประเภทหนึ่งที่ซื้อขายในตลาดคาร์บอน และประเทศพัฒนาแล้ว สามารถนำ CERs เหล่านี้ไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซตามพันธกรณี

ในตลาดโลกมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านกลไก CDM ที่ออก CERs โดยประเทศที่ไม่มีพันธสัญญา ดังนี้ จีน 42.74% อินเดีย 22.77% เกาหลี 14.02% บราซิล 11.25% เม็กซิโก 2.14% เวียดนาม 1.68% และอื่นๆ อีก 5.39% (ข้อมูลอัพเดต ณ เดือนมี.ค. 2552)

กลไก CDM จึงเป็นหนึ่งในกลไกที่พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาซึ่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในไทย ตลอดจนปัจจัยด้านราคาพลังงานที่ขึ้นลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และปริมาณความ ต้องการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคา ซื้อขายคาร์บอนมีแนวโน้มสูงขึ้น

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2552 มีราคาซื้อขายอยู่ที่ระดับ 11.8 ยูโรต่อยูนิต (Certified Emission Reductions) ซึ่งในปี 2550 มีปริมาณซื้อขายคาร์บอนที่ระดับ 2,700 ล้านตันคาร์บอน มูลค่า 4 หมื่นล้านยูโร และในปี 2551 มีปริมาณซื้อขาย 4,900 ล้านตันคาร์บอน มูลค่า 9.2 หมื่นล้านยูโร

ปัจจัยด้านราคาซื้อขายจึงเข้ามามีบทบาทเป็นอีกตัวกระตุ้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากขึ้น เพราะถือเป็นการหารายได้ให้กับบริษัทอีกวิธีหนึ่ง

นอกจากนี้ แรงผลักดันจากลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เนื่องจากขณะนี้กระแสตื่นตัวมีมาก ลูกค้าจึงตระหนักถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละบริษัทมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบ การผลิต ว่า บริษัท คู่ค้ามีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรักษา สิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน

จึงเป็นเหตุผลให้ผู้ประกอบการต้องประเมินการทำงานของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทมีกระบวนการผลิตและผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนใหญ่ที่โรงงานทำก็คือ ลดใช้พลังงานทุกชนิด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและก้าวไปสู่การทำการบริหารจัดการก๊าซคาร์บอนภายในสถานประกอบการ เพื่อนำผลการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมาเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยรายงานถึงผลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากสถานประกอบการ (Carbon Footprint) เพื่อพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ฉลากคาร์บอน (Carbon Label) จะเป็นผลจากการประเมินการลดก๊าซ เรือนกระจกในกระบวนการผลิต โดย ฉลากคาร์บอนจะแสดงให้ผู้บริโภค ได้รับทราบว่าในกระบวนการผลิตสินค้าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณเท่าใด หลังจากที่ผู้ประกอบการ ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแล้ว

ขณะที่รายงานผลการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการประกอบการ (Carbon Footprint) สามารถแสดงข้อมูลให้ ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต ขนส่ง การใช้งาน และกำจัด เมื่อกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจซื้อของ ผู้บริโภค และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

การที่แต่ละบริษัทจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและลงทุนดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในตลาดโลก เพราะขณะนี้ลูกค้าให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินนโยบายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากบริษัทไม่มีการดำเนินนโยบายในด้านนี้ หรือมีน้อยกว่าคู่แข่งก็จะเสียเปรียบ เนื่องด้วยทุกประเทศกำลังต่อสู้กันในด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม

ดาเวนพอร์ต กล่าวว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่ประเทศคู่ค้าจะนำประเด็นนี้มาเป็นกำแพงทางการค้า โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าในยุโรป ซึ่งการที่บริษัทไม่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมหรือผลิตสินค้าที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะทำให้สินค้าแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลกลำบากมากขึ้น

โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการส่งออกสินค้าและบริการไปยังยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา สินค้าจะต้องมีคุณสมบัติตาม ที่ลูกค้ากำหนดจึงจะสามารถสร้าง ความแตกต่างจากคู่แข่ง ทั้งด้านคุณภาพ ราคา และความมีชื่อเสียงของบริษัทได้ ขณะเดียวกันการลดใช้พลังงานหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะสามารถช่วยลดต้นทุนผลิตได้

“การให้บริการบริหารจัดการคาร์บอนในโซนเอเชียเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้บริษัทมีความสามารถแข่งขันในด้านส่งออกสินค้าและเพิ่มโอกาสขยายตลาด ไปยังตลาดโลกมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่ส่งออกสินค้าเป็นหลัก การที่มีสินค้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าในยุโรปและที่อื่นๆ ได้มากขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา” ดาเวนพอร์ต กล่าว

ด้านมาตรการส่งเสริมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในไทยของรัฐบาล มองว่า รัฐบาลไทยให้การส่งเสริมเป็นอย่างดี มีการกำหนดแผนและส่งเสริมให้โรงงานลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยออกใบประกาศรับรองแก่โรงงานที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ ซึ่งใบประกาศนี้จะเป็นเครื่องยืนยันสำหรับบริษัทว่าสามารถ ลดการปล่อยก๊าซได้จริง หากประเมินแล้วไทยยังมีมาตรการที่ดีกว่าบางประเทศที่ ไม่มีเป้าหมายใดๆ

ดาเวนพอร์ต กล่าวว่า การเข้ามาให้บริการดังกล่าวในไทย เป้าหมายที่จะ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นอยู่กับการดำเนินการของแต่ละบริษัทและสถานการณ์ภายในบริษัทนั้นๆ

ปัจจุบัน การให้คำปรึกษาจะเข้าไปดูแลว่าจะพัฒนาจากเดิมได้อย่างไร เพราะไม่ได้ต้องการให้แข่งขันกับบริษัทอื่นๆ แต่ต้องการให้เกิดการแข่งขันกับการดำเนินการของบริษัทเอง ถือเป็นจุดเด่นของการให้บริการ โดยพัฒนาจากจุดที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมจนประสบผลสำเร็จ

นอกจากนี้ บริษัท McKinnon & Clarke ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากหลากหลายสาขามาให้คำปรึกษาและสามารถบูรณาการ ให้บริหารจัดการก๊าซคาร์บอนได้ เริ่มตั้งแต่ให้คำแนะนำเรื่อง ลดการใช้พลังงาน แต่ยังดูแลเรื่องทำรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอน ดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และให้คำปรึกษาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาโปรเจกต์ว่าด้วยกลไก CDM ได้อีกด้วย

กลุ่มเป้าหมายในการให้บริการไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นอุตสาหกรรมภาคการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น แต่ยังสามารถให้คำปรึกษาแก่กลุ่มผู้ประกอบการภาคบริการ เช่น โรงแรม ได้เช่นเดียวกัน และมองว่าอุตสาหกรรมประเภทอาหารและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสินค้าเกษตรน่าจะเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกตามที่กล่าวไว้เบื้องต้น

ก่อนหน้านี้ บริษัทเริ่มเข้ามาทำกิจการในเอเชียเมื่อ 8 ปีที่แล้ว มีลูกค้าอยู่ทั้งในไทย อินเดีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทุกวันนี้ลูกค้าอยู่ในไทยมีมากกว่า 200 ราย อยู่ในทุกประเภทกิจการ ทั้งอุตสาหกรรมอาหาร โรงแรม อุตสาหกรรมหนัก เหล็ก พลาสติก เป็นต้น

ดาเวนพอร์ต กล่าวว่า ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ระยะสั้นคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนในโปรเจกต์ว่าด้วยการลดก๊าซคาร์บอนบ้าง ทำให้การลงทุนชะลอตัวลง แต่ในระยะยาวผู้ประกอบการคงจะต้องคิดถึงขีดความสามารถในการแข่งของบริษัทมากกว่า ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

http://www.posttoday.com/business.php?id=55706

--
  ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แอบมอง...นิวซีแลนด์ บริษัท "กีวี" ข้ามชาติ โครงสร้างธุรกิจเกษตรยุคใหม่!!

วันที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11441 มติชนรายวัน


แอบมอง...นิวซีแลนด์ บริษัท "กีวี" ข้ามชาติ โครงสร้างธุรกิจเกษตรยุคใหม่!!


โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย



กีวี ผลอวบวางเรียงรายอยู่บนชั้นจำหน่ายผลไม้สดในซุปเปอร์มาร์เก็ต สติ๊กเกอร์วงรีเล็กๆ ที่แปะไว้บนผลนอกจากช่วยจำแนกว่าผลไหนเป็น "กีวีกรีน" เนื้อกีวีสีเขียว หรือ "กีวีโกลด์" เนื้อกีวีสีทอง แล้ว ยังบอกให้รู้ว่ากีวีเหล่านี้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลจาก นิวซีแลนด์ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ดินแดนแห่งกีวี

ทุกวันนี้นิวซีแลนด์ส่งออกผลไม้ที่ถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไปจำหน่ายมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก คิดเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ของกีวีที่นิวซีแลนด์ปลูกได้เลยทีเดียว

ปีที่แล้วนิวซีแลนด์ส่งออกกีวีมากถึง 100 ล้านถาด (ถาดละ 3.5 กิโลกรัม) สร้างความมั่งคั่งและร่ำรวยให้กับประเทศไม่น้อย

ก่อนจะปีนป่ายขึ้นถึงยอดเขาแห่งความสำเร็จอย่างที่เห็น บรรดาผู้ปลูกกีวีชาวนิวซีแลนด์ต้องเผชิญปัญหาทุกข์ยากหนักหนาสาหัส แต่ด้วยการจัดการและการบริหารที่ดี ทำให้ปัจจุบันผู้ปลูกกีวีมีชีวิตสุขสบายเหลือล้น!!

เป็นอย่างไรนั้น แดเนียล แมธีสัน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล (Zespri International) รับหน้าที่บอกเล่า...

เขาฉายภาพความลำบากของเกษตรกรกีวีในนิวซีแลนด์ให้ฟังว่า ย้อนไปราว 15 ปีก่อน มีบริษัทในนิวซีแลนด์ที่ส่งออกกีวีนับสิบนับร้อยเจ้า ผู้ปลูกกีวีก็มีด้วยกันหลายพันราย ต่างแข่งขันกันเอง คุณภาพของกีวีก็ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ราคาตกต่ำ

ผู้ปลูกกีวีหลายรายจึงแทบสิ้นเนื้อประดาตัว

เกษตรกรกีวีหลายพันคนทั่วนิวซีแลนด์รับสภาพนี้ไม่ไหว จึงรวมตัวกันเรียกร้องรัฐบาลให้ช่วยตั้งบริษัทขึ้นมาบริษัทหนึ่ง คอยดูแลจัดการคุณภาพ มาตรฐาน และตลาดกีวี ไม่ให้ราคาตกต่ำและไม่ให้มีการแข่งขันกันดุเดือดอย่างที่เป็น

รับข้อเรียกร้องของผู้ปลูกกีวีมาพิจารณาแล้ว ในที่สุดรัฐบาลนิวซีแลนด์ก็มีมติให้จัดตั้ง "บริษัท เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล" ขึ้นในปี 2540 เพื่อจัดการปัญหาต่างๆ

"บริษัทอื่นๆ จำหน่ายกีวีนิวซีแลนด์ได้เฉพาะในประเทศและออสเตรเลีย แต่เราเป็นบริษัทเดียวที่สามารถส่งออกกีวีไปจำหน่ายทั่วโลก และเป็นบริษัทเดียวที่จำหน่ายกีวีโกลด์ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่เราพัฒนาขึ้นเอง

(บน) เก็บเกี่ยวกีวีได้ในเดือนเมษายน-ต้นเดือนมิถุนายน (กลาง) ลำเลียงกีวีขึ้นเรือส่งจำหน่ายทั่วโลก (ล่าง) สวนกีวีที่มีมากมายในภูมิภาค เบย์ ออฟ เพลนตี้


"เรียกได้ว่าเราเป็นตัวแทนกีวีนิวซีแลนด์ มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนเพราะเห็นถึงความสำคัญของกีวีซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลได้เจรจาเรื่องการค้าเสรีกับหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ภาษีของกีวีนิวซีแลนด์ลดลง" แดเนียล-หนุ่มสายเลือดนิวซีแลนด์ เล่าอย่างภาคภูมิใจ

คณะผู้บริหารของเซสปรีมี 6 ราย โดย 3 รายเป็นเกษตรกรกีวี และอีก 3 รายเป็นบุคคลในภาคธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์แตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารและการตลาด

ส่วนสมาชิก 3 พันกว่ารายล้วนเป็นผู้ปลูกกีวีทั้งสิ้น หากวันไหนที่สมาชิกเห็นว่าโครงสร้างการบริหารงานไม่เหมาะสม ก็สามารถจัดประชุม และเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนระบบการบริหารงานได้

รายได้ของสมาชิกมาจากเงินปันผลที่จะได้รับทุกปี และอีกทางคือการปลูกกีวีให้ได้คุณภาพและมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด

แดเนียลเล่าว่า เซสปรีได้ร่วมกับ แพลนท์ แอนด์ ฟู้ด รีเสิร์ช (Plant and Food Research) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านพันธุ์พืช ทำการพัฒนาสายพันธุ์กีวี ทั้ง กีวีกรีนและกีวีโกลด์ ให้ผลมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อแน่นขึ้น และยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น

เมื่อทำการปรับปรุง-พัฒนาสายพันธุ์ และสำรวจตลาดแล้วว่าต้องการผลขนาดไหน รสชาติอย่างไร เซสปรีก็จะแนะนำสมาชิกให้ลองปลูก ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูกกีวีทั้งหมดของนิวซีแลนด์อยู่ในภูมิภาค เบย์ ออฟ เพลนตี้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอ๊อคแลนด์

"เรากระตุ้นให้ผู้ปลูกได้ปลูกกีวีคุณภาพดีที่สุด สมมุติผมมีสวนกีวี คุณมีสวนกีวี แล้วกีวีในสวนผมผลใหญ่กว่า รสชาติดีกว่า มีสารอาหารเยอะกว่า แต่ใช้สารเคมีน้อยกว่า ผมก็จะได้เงินเยอะกว่า

"ที่อื่นอาจหวงการปรับปรุงสายพันธุ์ แต่ที่นี่ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เราและผู้ปลูกจะแบ่งปันความรู้กัน เพราะเรามองไปที่มาตรฐานระดับประเทศมากกว่าจะมาแข่งขันกันเองอย่างแต่ก่อน" แดเนียลบอก

(ซ้าย) แดเนียล แมธีสัน (ขวา) บรรจุกีวีลงกล่อง...กีวีที่มีตำหนิมีไว้จำหน่ายในประเทศ ส่วนกีวีเกรดเอส่งจำหน่ายต่างประเทศ


ขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องทำความเข้าใจความต้องการของผู้ปลูก มีการพูดคุยระหว่างกันโดยตลอด มีการพาผู้ปลูกกีวีไปโรดโชว์ เพื่อให้เห็นด้วยตัวเองว่าความต้องการของตลาดแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ซึ่งลูกค้าก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้ปลูกได้โดยตรง

"เมื่อก่อนก็ลำบากพอสมควร เพราะผู้ปลูกแข่งขันกันเอง แต่เดี๋ยวนี้เราแข่งขันกับชาติอื่นแล้วครับ เราจึงต้องร่วมมือกันปลูกกีวี

"ผมมีหลักอยู่ว่ากีวีเป็นเหมือนลูกๆ ของผม เพราะฉะนั้นต้องดูแลอย่างดีที่สุด" ดอน ไฮแลนด์ สมาชิกเซสปรี ผู้ปลูกกีวีและเจ้าของไร่กีวีรุ่นที่ 5 ของตระกูล เล่าให้ฟังระหว่างพาเดินชมสวนกีวี

ดอนเล่าว่า เมื่อต้นเริ่มให้ผลกีวีเมื่อไหร่ ก็ได้เวลาที่ต้องส่งกีวีบางส่วนไปให้ "เทสติ้ง เซ็นเตอร์" (Tasting Center) ตรวจว่าได้คุณภาพหรือไม่ รสชาติเป็นอย่างไร หากผ่านการตรวจก็เป็นอันเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

กีวีจากสวนของดอนรสชาติเยี่ยม แต่ละปีดอนจึงได้รับเงินตอบแทนเป็นจำนวนมาก เพียงพอต่อการที่หมดฤดูเก็บกีวีแล้ว เขาและภรรยาจะไปพักผ่อนด้วยการล่องเรือยอชต์ส่วนตัวในทะเลสาบโรโทรัวได้อย่างสบายใจ

ออกจากสวนกีวีก็เดินทางสู่ "แพค เฮาส์" (Pack House) หรืออาคารบรรจุกีวี

กีวีจะถูกวางลงบนสายพานผ่านเครื่องจักรที่คอยตรวจขนาดผลและตรวจรอยช้ำของกีวี ผลไหนไม่ผ่านก็จะไปอีกสายพานหนึ่งให้พนักงานได้ตรวจคุณภาพอีกรอบ

พนักงานในแพค เฮาส์ มีทั้งชาวเมารีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ชาวมาเลเซีย และชาวอินโดนีเซีย เพราะนิวซีแลนด์ประสบปัญหาภาวะขาดแคลนแรงงาน รัฐบาลจึงทำข้อตกลงกับมาเลเซียและอินโดนีเซียว่า คนหนุ่มสาวจากทั้ง 2 ประเทศนี้สามารถทำงานในแพค เฮาส์ได้เป็นเวลา 2-3 เดือน ซึ่งก็ถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จพอควร

บรรจุกีวีลงกล่องสีเขียวเรียบร้อย ก็ส่งไปยัง ท่าเรือเทารังก้า เก็บไว้ในโกดังซึ่งรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 0-1 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาความสดของกีวี ก่อนลำเลียงขึ้นเรือขนส่งที่มีห้องรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 0-1 องศาเซลเซียสเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ กีวีนิวซีแลนด์ก็ถึงมือผู้บริโภค

"ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เราส่งกีวีไปจำหน่ายมากสุดคิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาเป็นเยอรมนี สเปน จีน เกาหลี ส่วนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสัดส่วนประมาณ 1.5 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นจำนวนถาดก็ราว 1.5 ล้านถาด...นี่คือตัวเลขของปีที่แล้วนะครับ หวังว่าปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น" แดเนียลบอก

เซสปรีทำตลาดในภูมิภาคนี้มาแล้ว 5 ปี ส่วนประเทศไทยนั้น เซสปรีเพิ่งรุกตลาดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่งกีวีกรีนเข้าตลาดก่อน แล้วค่อยส่งกีวีโกลด์มาชิมลางเมื่อไม่นานมานี้

ทราบไหมว่ากีวีนิวซีแลนด์ต้องลงสนามปะทะผลไม้เจ้าถิ่นอย่างทุเรียน มะม่วง มังคุด เงาะ ส้ม?

ได้ยินคำถามแล้วแดเนียลถึงกับหัวเราะ ก่อนบอกว่า "ทราบ" คนไทยโชคดีที่มีผลไม้ให้รับประทานตลอดทั้งปี บางทีอาจจะมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้ แต่ก็อยากให้กีวีเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของคนไทย

"กีวีกรีนและโกลด์มีวิตามินซีและวิตามินอีสูงมากๆ มีไฟเบอร์เยอะ และยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมาก...ราคากีวีนิวซีแลนด์อาจแพงเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น แต่เราก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่ากีวีนิวซีแลนด์ดีที่สุดในโลก" แดเนียลไม่วายย้ำ

ดูโครงสร้างการบริหารจัดการ "กีวี" บ้านเขาแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้

เพราะในขณะที่เกษตรกรนิวซีแลนด์มีชีวิตสะดวกสบาย เกษตรกรไทยกลับน้ำตาตกใน-ชอกช้ำใจกับผลผลิตที่ออกสู่ท้องตลาดเมื่อไหร่เป็นอันเตรียมใจไว้ได้เลยว่าราคาต้องตกต่ำ

เป็นเหตุการณ์ย่ำแย่เกิดขึ้นซ้ำซากที่ไม่ว่ารัฐบาลยุคไหนสมัยไหนได้แต่มองตาปริบๆ!!

หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01070752&sectionid=0131&day=2009-07-07

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"โรสแมรี่" ใบกินและขายได้


"โรสแมรี่" ใบกินและขายได้

ผม เคยเขียนถึงต้น "โรสแมรี่" ไปนานแล้ว พร้อมบอกว่า ใบ ของไม้ชนิดนี้มีกลิ่นหอมแรง ในต่างประเทศนิยมนำไปใช้แต่งกลิ่นอาหารหลายอย่าง คล้ายๆกับใบสะระแหน่ของไทย โดยใช้ใบแห้งหรือสดก็ได้ โรยหรือคลุกกับอาหารจำพวกปลาและเนื้อเพื่อดับกลิ่นคาว ทำให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทานดีมาก หรือเด็ดใบสดเคี้ยวทำให้ปากมีกลิ่นหอมได้ด้วย นอกจากนั้น? ใบยังถูกนำไปสกัดเป็นน้ำหอม? ครีมอาบน้ำ? และเป็นส่วนประกอบของยาดมหลายยี่ห้อได้รับความนิยมแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมากอยากทราบอีกว่า "โรสแมรี่" มีประโยชน์ทำอะไรได้อีกบ้าง ซึ่งถ้าปลูกมากๆ? สามารถนำเอาใบตากแห้งบรรจุถุงพลาสติกขายเป็นเงินได้ ที่มีวางขายตามห้างสรรพสินค้าดัง? ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น ราคาถุงละหลายเงิน หากจะปลูกเพื่อเป็นอุตสาหกรรมตามที่กล่าวข้างต้น จะต้องศึกษากลไกของตลาดเพื่อรองรับให้ดีเสียก่อนจะได้ไม่ต้องเสี่ยงต่อการขาดทุน

โรสแมรี่ หรือ ROSMARINUS?? OFFICINATIC มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นไม้พุ่มขนาด เล็ก ต้นสูงไม่เกิน 1 ฟุตกว่า ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปขอบขนานแคบไม่ถึงครึ่ง ซม. ปลายแหลม โคนมน มีร่องกลางใบ เนื้อใบหนา สีเขียวสด ใบมีกลิ่นหอมแรงมาก เวลาแตกกิ่งก้านเยอะและมีใบดก นำกระถางที่ปลูกตั้งบนโต๊ะนั่งพักผ่อนกลางแจ้ง 2-3 กระถาง ใบถูกลมพัดส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก ดอกมีด้วยกัน 2 สี คือสีขาวปนชมพู และสีแดง ดอกออกตามซอกใบ ดอกมีได้เรื่อยๆตามความสมบูรณ์ ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำกิ่ง โดยตัดยอดยาว 3-5 ซม. เด็ดใบทิ้งให้เหลือประมาณ 2-3 ช่อ นำส่วนที่ตัดไปแช่น้ำยาเร่งรากก่อนนำไปปักชำในดินร่วนปนทราย รดน้ำนิดๆเช้าเย็น ประมาณ 25-30 วัน "โรสแมรี่" ที่ปักชำจะติดรากและแข็งแรง สามารถย้ายไปปลูกลงกระถางที่เตรียมไว้ได้เลย

จากนั้นนำ กระถางปลูกไปตั้งในที่แจ้ง มีแสงแดดส่องตลอดวัน รดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยสูตร 15-15-15 สม่ำเสมอ ครึ่งเดือนครั้ง สลับกับใส่ปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งบ้าง เพื่อป้องกันดินแข็ง โรยตามหน้าดินบางๆ 2 เดือนครั้ง จะทำให้ต้น "โรสแมรี่" แข็งแรง แตกกิ่งก้านหนาแน่น และมีใบเยอะ ส่วนวิธีเก็บเกี่ยวใบไปตากแห้งบรรจุถุงขาย ควรตัดยอดยาวประมาณ 3 ซม. และต้องตากแห้งด้วยแสงแดดจะดีมาก ระวังอย่าให้มีราขึ้น นำไปบรรจุถุงขายได้แน่ ปัจจุบันต้น "โรสแมรี่" มีขายที่ตลาดนัด? ไม้ดอก ไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง "ป้าแอ๊ด" ราคาสอบถามกันเองครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/4427
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"ออริกาโน่" ใบหอมโรยหน้าพิซซ่า

"ออริกาโน่" ใบหอมโรยหน้าพิซซ่า

Pic_5178

ออริกาโน่

คน ที่ชอบรับประทานพิซซ่าส่วนใหญ่จะรู้ว่า ใบ ของ "ออริกาโน่" ซึ่งมีกลิ่นหอมและเป็นส่วนประกอบใช้โรยหน้าแผ่นพิซซ่า ทำให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทานยิ่งขึ้น และจะเป็นของคู่กันได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวพอดี ซึ่งถ้าหากพิซซ่าขาดการโรยหน้าด้วยใบของ "ออริกาโน่" แล้วจะจืดชืด รับประทานไม่อร่อย ทำให้ไม่ใช่พิซซ่าเต็มร้อยนั่นเอง

หลายคน แม้รู้ว่าใบของ "ออริกาโน่" โรยหน้าพิซซ่าแล้วทำให้มีกลิ่นหอมกินอร่อย แต่เชื่อได้เลยว่าน้อยคนนักจะเคยพบเห็นต้นจริงว่าเป็นแบบไหน และเมื่อไม่นานมานี้พบว่ามีผู้นำเอาต้น "ออริกาโน่" ออกมาวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ เป็นสายพันธุ์ที่นำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่ง "ออริกาโน่" พันธุ์นี้จะมีใบด่างและมีดอกเป็นช่อยาวคล้ายช่อดอกราชาวดี สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้ จึงรีบแนะนำให้รู้จักทันที

ออริกาโน่ เป็นไม้ล้มลุกอายุ 2-3 ปี พวกเดียวกับหูเสือของไทย มีเขตการกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ทุกพันธุ์จะมีเหมือนกันคือใบมีกลิ่นหอมเป็นมิ้นท์ตัวหนึ่ง อยู่ในวงศ์ LABIATAE ลำต้นกลม อวบน้ำใสๆ สีเขียวอ่อน ต้นสูงประมาณ 20-40 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มเยอะ ลำต้นและกิ่งก้านเปราะ หรือหักง่าย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม ก้านใบยาว ใบเป็นรูปกลมรี หรือรูปพัดจีน ปลายใบมนหรือแหลมเล็กน้อย โคนใบตัดชัดเจน เนื้อใบหนา มีขนละเอียดทั่ว ใบอวบน้ำเช่นเดียวกับลำต้น ใบมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นใบหูเสือของไทย แต่กลิ่นจะหอมนุ่มนวลและแรงกว่า ใช้มือจับหรือลูบเบาๆ เอามือขึ้นดมจะได้กลิ่นติดมือชื่นใจมาก ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบเป็นสีเขียว มีขลิบสีขาวรอบตามขอบใบ ทำให้เวลามีใบดกๆ ดูสวยงามแปลกตามาก

ประโยชน์ของใบ "ออริกาโน่" นิยมเด็ดหั่นเป็นฝอยๆ แล้วตากแห้งสนิท ไม่ต้องอบเพราะจะทำให้กลิ่นหอมจางหายไปเยอะ จากนั้นนำไปป่นหยาบๆ ใช้ โรยหน้าพิซซ่า คลุกหมักเนื้อและปลาดับกลิ่นคาว ทำให้มีกลิ่นหอมรับประทานได้ อร่อยมาก เหมือนกับใบของ "โรสแมรี่"

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อยาวคล้ายช่อดอกราชาวดี แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีขาว เวลามีดอกจะดูสวยงามน่ารักมาก ดอกออกได้ตลอดหรือเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำต้น ปัจจุบันมีขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง "ป้าแอ๊ด" ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง เหมาะจะปลูกเป็นพืชครัวใช้ประโยชน์ในบ้าน หรือ ปลูกเป็นไม้ประดับ เวลามีใบดกและมีดอกเป็นช่อยาวๆ จะสวยงามน่าชมยิ่งครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/5178

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"บานชื่น" พันธุ์นอกเพาะเมล็ดยาก

"บานชื่น" พันธุ์นอกเพาะเมล็ดยาก

Pic_5905

บานชื่น เป็นไม้ดอกไม้ประดับชนิดหนึ่งที่มีดอกสวยงามลึกซึ้ง ซึ่งผู้พบเห็นดอกแล้วมักหลงใหลในเสน่ห์ของสีสัน โดยเฉพาะ ปัจจุบัน "บานชื่น" ที่มีวางขายในตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ มีหลากหลายสีสันให้เลือกซื้อ เช่น สีเหลืองเข้ม สีบานเย็น สีแสด และสีขาว เป็นต้น ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่มีกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น ดอกมีขนาดใหญ่ เป็นสายพันธุ์จากต่างประเทศ ผู้ปลูกขายไปซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทนำเข้าไปเพาะขยายพันธุ์ จนเป็นต้นและมีดอกออกวางขายให้ผู้ซื้อไปปลูกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

อย่าไรก็ตาม "บานชื่น" เป็นไม้ล้มลุก โดย เฉพาะอย่างยิ่ง "บานชื่น" ที่เป็นสายพันธุ์จากต่างประเทศ เมื่อผู้ปลูกซื้อต้นไปปลูกแล้วดอกร่วงโรยและติดเมล็ด ผู้ปลูกเก็บเอาเมล็ดไปเพาะเพื่อขยายพันธุ์จะไม่ สามารถแตกเป็นต้นใหม่ขึ้นมาได้ (ถ้าเป็นสายพันธุ์ ไทยที่ดอกมีกลีบชั้นเดียว นิยมปลูกกันมาแต่โบราณสามารถเอาเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์ได้) ดังนั้น หากต้องการปลูก "บานชื่น" ที่เป็นสายพันธุ์ต่างประเทศหลังจากต้นเก่าตายไป จึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทนำเข้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำให้ผู้ปลูกส่วนใหญ่ใช้วิธีซื้อต้นที่มีดอกไปปลูกประดับเพื่อชมความสวยงามแบบเฉพาะกาลในช่วงที่เป็นพิเศษบางเวลาเท่านั้น เมื่อต้นตายก็ไปซื้อจากผู้ขายใหม่ได้

บานชื่น หรือ ZINNIA  ELEGANS JACQ. มีชื่อสามัญคือ YOUTH-AND-OLD AGE, ZINNIA อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE เป็นไม้ล้มลุก ต้นสูง 0.5-1 ฟุต แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มเล็กน้อย มีขนแข็งทั่วทั้งต้น ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปไข่ หรือรูปรีกว้าง   ปลายมนหรือค่อนข้างแหลม โคนกลม ก้านใบสั้นมาก หรือบางสายพันธุ์ไม่มีก้านใบเลย ใบเป็นสีเขียวสด มีขนละเอียดทั่ว

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแบบดอกเดี่ยวที่ปลายยอด มีหลายสี เช่น สีชมพู สีแดง สีม่วง สีบานเย็น สีเหลือง สีแสด และ สีขาว เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่มีวางขายเป็นสายพันธุ์ต่างประเทศ มีกลีบดอกหลายชั้น พันธุ์ไทยมีกลีบดอกชั้นเดียว ริ้วประดับมีหลายวง ดอกวงนอกเป็นรูปรางน้ำ ดอกวงในเป็นหลอด ปลายจัก 5 แฉก ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-3.5 นิ้วฟุต เวลามีดอกจึงดูสวยงามสดใสมาก "ผล" เป็นรูปไข่กลับ หรือรูปขอบขนาน แบน เมล็ดแก่สีน้ำตาลเกือบดำ ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด (ขอย้ำว่าเมล็ดสายพันธุ์นอกเพาะไม่ขึ้น) ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากเม็กซิโก มีต้นขายที่ตลาดนัด ไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 27 แผง "คุณวิไล" ราคาสอบถามกัน เองครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/5905

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"ไทม์" ครัวฝรั่งขาดไม่ได้


"ไทม์" ครัวฝรั่งขาดไม่ได้

Pic_7032

"ไทม์"

ไม้ต้นนี้ เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปทั่วไป แต่ไม่ทราบว่ามีสรรพคุณดีมากแค่ไหน ส่วนใหญ่ในครัวของชาวฝรั่งจะมี "ไทม์" ที่เป็นชนิดแห้ง หรือชนิดสดติดครัวไม่ขาด เหมือนกับครัวไทยไม่ขาด พริก ขิง ข่า ตะไคร้ ทำนองนั้น หรือชาวต่างชาติบางบ้านจะปลูก "ไทม์" ไว้เก็บใบไปปรุงอาหารได้เองเหมือนกับ โรสแมรี่ และออริกาโน่ที่เคยเสนอในคอลัมน์ไปแล้ว

โดย "ไทม์" จะใช้เป็นหลักในการทำ BOUQUET GARNI รวมกับใบกระวาน พาร์สลีย์ และเป็นส่วนประกอบสมุนไพรของฝรั่งชื่อ HERBES DE PROVENCE ซึ่ง "ไทม์" ยังเหมาะในการปรุงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ช่วยแต่งรสเนื้อวัว แกะ แพะ ซอสผัก หรือน้ำสลัดให้มีรสชาติเข้มข้นชวนรับประทานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ในต่างประเทศยังนิยมเอา "ไทม์" ผสมกับสมุนไพรอีกหลายอย่าง หรือผสมกับโรสแมรี่ พาร์สลีย์ และออริกาโน่ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย "ไทม์" มีสาร "ทายมอล" อยู่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะช่วยในการย่อยอาหาร แก้ท้องอืด และทำให้เจริญอาหารดี ยอดและใบของ "ไทม์" ยังนำไปสกัดเป็นน้ำมันไทม์ได้รับความนิยมไปปรุงอาหารอย่างแพร่หลาย ไม่แพ้การใช้ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา กลิ่นสดๆของ "ไทม์" ดมแล้วทำให้ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ช่วยกระตุ้นระบบย่อย และเป็นเครื่องเทศเด็ดขาดนัก

ไทม์ หรือ (THYME) เป็นไม้ พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นทอดเลื้อยตามหน้าดิน แตกกิ่งก้านหนาแน่น ใบมีขนาดเล็ก ออกเรียงสลับ ทั้งลำต้นและใบเป็นสีเขียวอมเทา (ดูภาพประกอบคอลัมน์) ลำต้น กิ่งก้าน และใบ มีกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัว ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น ปัจจุบันมีต้นขายที่ตลาดนัด ไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง "ป้าแอ๊ด-คุณขวัญ" ราคาสอบถามกันเอง

การปลูก เติบโตได้ในดินทั่วไป ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ปลูกได้ทั้งแบบลงดินกลางแจ้งและปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ ตั้งในที่แจ้ง หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มทั้งเช้าและเย็น บำรุงปุ๋ยธรรมชาติจำพวกขี้วัว หรือขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดินบางๆเดือนละครั้ง หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ 2 เดือนครั้ง จะทำให้ต้น "ไทม์" แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น สามารถเก็บต้น ใบ และยอด ไปใช้ประโยชน์ ตามที่กล่าวข้างต้นได้ หรือปลูกจำนวนมากๆตัดยอดตากแดดจนแห้งสนิทบรรจุถุงพลาสติกนำไปจำหน่ายให้โรงแรมใหญ่ๆ หรือร้านอาหารฝรั่งสร้างรายได้เสริมดีไม่แพ้ โรสแมรี่ และออริกาโน่ ครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/7032
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"ลำพู" ปลูกเรียกแมลงแห่งเทพนิยาย



--

"ลำพู" ปลูกเรียกแมลงแห่งเทพนิยาย

Pic_8886

ต้นลำพู

ผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมากอยากทราบเรื่องราวของต้น "ลำพู" ว่าเป็นอย่างไร ซึ่ง สมัยเป็นเด็กชนบท จำได้ว่าในช่วงรอยต่อของฤดูกาล  ระหว่างปลายฝนต้นหนาว ผมและเพื่อนๆจะรวมกลุ่มกัน 6-7 คน ตอนกลางคืนเดือนมืดออกจากบ้าน ไปชมแมลงหิ่งห้อยจำนวนมากบินไปเกาะอยู่บนต้น "ลำพู" แล้วเปล่งแสงเรืองรองเป็นสีเหลืองอมเขียววาววับบินไปมาสวยงามมาก บางครั้งพวกเราจับตัวมันมาวางบนอุุ้งมือ ดิ้นไปมาพร้อมเปล่งแสงไม่มีความร้อน ทำให้พวกเราเห็นใบหน้ากันและกันเป็นสีเดียวกับสีของแมลงหิ่งห้อย สนุกมาก พวกเราเรียกแมลงหิ่งห้อยว่า "เป็นแมลงแห่งเทพนิยาย" ปัจจุบัน หาชมแมลงหิ่งห้อยได้น้อยมาก อยากจะชมต้องเดินทางไป นั่งเรือเลาะตามริมคลองอัมพวา จ.สมุทร-สงคราม ซึ่งยังพอมีต้น "ลำพู" ที่เป็นแหล่งอาศัยของแมลงแห่งเทพนิยายอาศัยอยู่ แต่ก็มีน้อยลงมากแล้ว เนื่องจากการสัญจรทางเรือวิ่งผ่านไปมาส่งเสียงดังรบกวนจนแมลงหิ่งห้อยค่อยๆหายไปจากต้น "ลำพู" ริมคลองอัมพวาจนเกือบหมด

หิ่งห้อย เป็นแมลงปีกแข็งพวกเดียวกับเต่าทอง มีชื่อว่า "FIREFLY" ตอนกลางวันจะไม่พบตัวหิ่งห้อย แต่ตกกลางคืนพวกมันจะพากันบินออกมามากมาย เพื่อกะพริบแสงส่งสัญญาณจับคู่ผสมพันธุ์กับตัวเมียที่จะกะพริบสัญญาณตอบว่าพร้อมแล้วเป็นแสงเรืองรองอย่างที่เราพบเห็นนั่นเอง ซึ่งแสง ดังกล่าวเรียกว่า COLD LIGHT หมายถึงแสงที่ไม่มีความร้อน มีความสว่างประมาณ 1/50-1/400 แรงเทียน และระยะเวลาที่พวกมันกะพริบแสงในแต่ละคืนเพื่อเรียกคู่ผสมพันธุ์จะยาวนานประมาณ 3-45 นาที ซึ่งแมลงแห่งเทพนิยาย หรือหิ่งห้อยเหล่านี้มักจะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ที่มีชื่อเรียกกันว่า ต้น "ลำพู" ต้นลำแพน และ ต้นแสม ที่มีขึ้นอยู่ตามริมน้ำ ริมคลอง ริมลำธารทั่วไป ต้นไม้ชนิดอื่นก็มีบ้างแต่ไม่มากเหมือนกับต้นไม้ที่กล่าวชื่อข้างต้น

ดังนั้น ต้น "ลำพู" จึงมีความสำคัญทางระบบนิเวศเป็นอย่างมาก นอกจากเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงแห่งเทพนิยายหิ่งห้อยแล้ว ผลสุก มีรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นเนย สามารถรับประทานได้ จะใช้จิ้มพริกเกลือ หรือน้ำปลาหวานก็ได้ อร่อยมาก ผลห่ามเปรี้ยวจัดทำแกงส้ม หรือกวนทำซอส ดอกลวกพอช้ำรับประทานกับน้ำพริก หรือยำดอก "ลำพู" รสชาติเด็ดขาดจริงๆ เกสรของดอกกางออกลักษณะคล้ายร่มเด็กๆ ชนบทนิยมนำไปเล่นอย่างสนุกสนาน เนื้อไม้ แข็งแรงทนทานใช้ประโยชน์มากมายหลายอย่าง "ลำพู" มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า SONNERATIA CASEOLARIS อยู่ในวงศ์ SONNERATECEAE เป็นไม้ป่าชายเลน สูงได้ 20 เมตร มีรากงอกขึ้นเหนือดิน ถ้าปลูกตามริมแม่น้ำเจ้าพระยามากๆ สามารถเรียกแมลงหิ่งห้อยให้กลับมาฟื้นการท่องเที่ยวยามค่ำคืนดีมากครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/8886
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"โป๊ยเซียนไร้หนาม"ดอกซ้อนเป็นชั้นงามแปลก

"โป๊ยเซียนไร้หนาม"ดอกซ้อนเป็นชั้นงามแปลก

Pic_12846

ผม เคยเขียนถึง "โป๊ยเซียนไร้หนาม" แนะนำผู้อ่านที่นิยมปลูกไม้ดอกสวยงามไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยังมีผู้อ่านอยากรู้ว่าโป๊ยเซียนชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากไหน ซึ่งในตอนนั้นผมไม่ได้ระบุแหล่งที่มาด้วย และขอให้แนะนำวิธีขยายพันธุ์ "โป๊ยเซียนไร้หนาม" แบบได้ผลจริงๆบ้าง จะได้ขยายพันธุ์เองได้ ประกอบกับพบว่ามีผู้นำต้น "โป๊ยเซียนไร้หนาม" วางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกแพร่หลาย และ ทราบข้อมูลใหม่อีกว่าดอก ของ "โป๊ยเซียนไร้หนาม" นอกจากจะมีสีสดใสแล้ว ดอกยังซ้อนกันในดอกเดียวเป็น 2-3 ชั้นด้วย เวลามีดอกดกๆ จึงสวยงามน่ารักแปลกตามาก เลยรีบนำเสนอในคอลัมน์ตามคำเรียกร้องอีกครั้งทันที

โป๊ยเซียนไร้หนาม มีถิ่นกำเนิดจากประเทศดามากัสการ์ อยู่ในวงศ์ EUPHORBIALEAE ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ลำต้นกลม ไม่เป็นเหลี่ยม ผิวต้นเกลี้ยง ลำต้นภายในกลวง เนื้อไม้แข็งเหมือนกับต้นชบา ไม่อวบน้ำเหมือนโป๊ยเซียนชนิดมีหนาม ลำต้นโตเต็มที่ประมาณนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่ ต้นสูงหรือยาวได้กว่า 1 เมตร และมักโค้งงอดูระเกะระกะไม่เป็นระเบียบนัก ผู้ปลูกจึงต้องคอยจัดระเบียบของต้นอย่างสม่ำเสมอ และจะแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มน่าชมมาก ต่างจากโป๊ยเซียนชนิดที่มีหนามจะไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ที่สำคัญลำต้นและกิ่งก้านจะไม่มีหนาม จึงถูกตั้งชื่อว่า "โป๊ยเซียนไร้หนาม"

ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกระจายทั่วลำต้นและกิ่งก้าน ต่างจากใบโป๊ยเซียนชนิดมีหนาม ที่จะมีใบดกในช่วงปลายยอด ใบของ "โป๊ยเซียนไร้หนาม" เป็นรูปรีกว้าง ปลายและโคนใบแหลมสีเขียวสดและเป็นมัน เวลามีใบดกถูกแสงแดดจะเป็นเงาน่าชมยิ่งนัก

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบกระจายทั่วทั้งต้น แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยไม่น้อยกว่า 3-5 ดอก ช่อดอกตั้งขึ้น ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 4 กลีบ เป็นรูปทรงกลม ใจกลางดอกมีเกสรเป็นกระจุกสีเหลือง กลีบดอกเป็นสีแดงอมส้มสดใส ดอกเมื่อบานเต็มที่โตประมาณครึ่งนิ้วฟุต เวลามีดอกดกกระจายเต็มต้นและดอกบานสะพรั่งพร้อมๆกันทั้งต้น จะดูสวยงามสดใสมาก ดอกออกตลอดปีและดอกจะดกมาก

ขยายพันธุ์ ด้วยวิธีปักชำกิ่ง โดยการตัดกิ่งยาวประมาณ 4 นิ้วฟุต ปักชำในกระถางที่เตรียมดินไว้ตั้งในที่แจ้ง ที่มีแดดส่องถึงตลอดทั้งวันเพราะเป็นไม้ชอบแดดจัด โดยก่อนปักชำให้จุ่มน้ำยาเร่งราก จากนั้นรดน้ำพอชุ่มทั้งเช้าและเย็นอย่าให้ขาด เนื่องจากเป็นไม้ชอบน้ำมาก ไม่เหมือนโป๊ยเซียนชนิดมีหนาม และไม่ต้องกลัวว่าต้นจะเน่า ก่อนจะแตกใบใหม่จะทิ้งใบเก่าหมด ประมาณ 3 อาทิตย์จะติดราก ปัจจุบันมีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "คุณก๊อต" ตรงกันข้ามโครงการ 15 กับโครงการ 5 แผง "คุณเมฆ" ราคาสอบถามกันเองครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/12846

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"ชมพู่ประดับ" สวยกินได้

"ชมพู่ประดับ" สวยกินได้

Pic_13215

ไม้ต้นนี้มี ถิ่นกำเนิด จากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาขยายพันธุ์ปลูกในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีเหมือนปลูกในถิ่นกำเนิด มีลักษณะเด่นคือ ต้นเตี้ย แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ติดผลเป็นพวง ผลโตประมาณปลายนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่ มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์คือ ชนิดที่ผลเป็นสีชมพู และผลเป็นสีแดงเข้ม ผลรับประทานได้ รสชาติเหมือนกับชมพู่ทั่วไป กำลังได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่ปลูกเป็นไม้ประดับ เวลา "ชมพู่ประดับ" หรือ "ชมพู่ออสเตรเลีย" มีดอกและติดผลเป็นพวงทั้ง 2 ชนิด จะดูสวยงามน่ารักมาก ใครเห็นต่างชื่นชอบเพราะสวยดี

ชมพู่ประดับ หรือ "ชมพู่ออสเตรเลีย" เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงเต็มที่ระหว่าง 2X2.5 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำหนาแน่น เป็นพุ่มกว้าง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามรูปรีกว้าง คล้ายใบดอกแก้ว แต่ขนาดใบจะใหญ่กว่า ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง สีเขียวสดเป็นมัน

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 3-5 ดอก ลักษณะดอกเหมือนกับดอกชมพู่ทั่วไป เป็นฝอยๆ หรือเป็นพู่สีขาว เวลามีดอกดกเต็มต้นจะดูสวยงามแปลกตามาก กลีบเลี้ยงของกลีบดอก จะติดอยู่จนกระทั่งเป็นผล "ผล" รูปกลมรี หรือกลมแป้นเล็กน้อย 2 รูปแบบ เหมือนผลชมพู่ทั่วไป แต่ขนาดของผลจะเล็กมาก โตเต็มที่ประมาณปลายนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น (ดูภาพประกอบคอลัมน์) เวลาติดผลจะเป็นพวง 3-5 ผล ผลห้อยลง มีด้วยกัน 2 สีคือ ชนิดผลสีชมพู กับ ชนิดผลเป็นสีแดงเข้ม น่าชมมาก เนื้อในเป็นสีขาวแน่น รับประทานได้ รสชาติหวานปนเปรี้ยวกรอบอร่อยดี โดยเฉพาะจิ้มพริกเกลือป่นไม่แพ้ชมพู่ทั่วไป ภายในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด ดอกและผลมีได้เรื่อยๆ แต่จะดกมากในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

ปัจจุบัน "ชมพู่ประดับ" หรือ "ชมพู่ออสเตรเลีย" มีต้นขายที่ ตลาด นัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง "ป้าแอ๊ด-คุณขวัญ-คุณแจ๊ค" ราคาสอบถามกันเอง

การปลูก เติบโตได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง นิยมปลูกประดับลงกระถางขนาดใหญ่ ทำทางระบายน้ำก้นกระถางให้ดี ตั้งในที่มีแดดทั้งวัน หรือปลูกลงดินกลาง แจ้งเป็นกลุ่มหลายๆต้น หลังปลูกรดน้ำเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยขี้วัว หรือขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดิน 2 เดือนครั้ง สลับกับใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 เดือนละครั้ง จะทำให้ "ชมพู่ประดับ" หรือ "ชมพู่ ออสเตรเลีย" มีดอกและผลสีสันสวยงามเต็มต้นครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/13215

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"น้อยหน่าครั่ง" พันธุ์เนื้อหอมหวานอร่อย


"น้อยหน่าครั่ง" พันธุ์เนื้อหอมหวานอร่อย

Pic_13667

ผม มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่ปลูกและขยายพันธุ์ไม้ผลขายในแถบอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พบว่าในสวนของเขามีเนื้อที่ประมาณ 30-40 ไร่ ปลูกมะม่วงสายพันธุ์ต่างๆไว้เกือบทุกชนิด และเนื้อที่ท้ายสวนแบ่งปลูกเฉพาะน้อยหน่าหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งชนิดที่เป็นพันธุ์จากต่างประเทศและในประเทศ แต่ละพันธุ์ติดผลขนาดใหญ่น่าชมมาก ในจำนวนนั้นมี "น้อยหน่าครั่ง" รวมอยู่ด้วยเกือบ 20 ต้น ติดผลสุกเป็นสีม่วงแดงสวยงามมาก ซึ่งน้อยหน่าชนิดนี้เป็นน้อยหน่าพันธุ์เนื้อ ผมซื้อรับประทานเป็นประจำ รสชาติเนื้อในหอมหวานอร่อยมาก เวลารับประทานใช้มือแกะผลเป็น 2 ซีก จากนั้นสามารถใช้มือหยิบเป็นพูตามตาผล รับประทานเนื้อในได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก หวานชื่นใจยิ่งนัก ผมเห็นผลติดกับต้น มีสีสันงดงามเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพพร้อมนำเรื่อง แนะนำให้ซื้อหาต้นไปปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนอีกตามระเบียบ
น้อยหน่าครั่ง อยู่ในวงศ์ ANNONACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-8 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบเป็นรูปรี ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ซอกใบ ลักษณะดอกห้อยลง มีกลีบดอก 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกชั้นในสั้นกว่ากลีบดอกชั้นนอก เป็นสีเหลืองอมเขียว กลีบหนาและแข็ง มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ มีเกสรจำนวนมาก "ผล" รูปทรงกลมป้อม หรือกลมแป้น บางครั้งบิดเบี้ยว มีหลายลักษณะผิวผลขรุขระเป็นช่องหรือตานูน โดยในแต่ละช่องหรือแต่ละตา ภายในจะเป็นเนื้อหุ้มเมล็ด 1 เมล็ด สีขาว 1 พู หรือ 1 ตา เท่ากับ 1 เมล็ด ผลสุกเป็นสีม่วงแดงคล้ายสีครั่งยาเรือ รสชาติหอมหวานอร่อยมาก

เนื้อใน ของ "น้อย-หน่าครั่ง" จะมีลักษณะเป็นน้อยหน่าเนื้อ ดังนั้นจึงสามารถแกะเปลือกเมื่อผลสุกรับประทานได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือน กับการกินน้อยหน่าหนัง เมล็ดเป็นรูปรีสีน้ำตาล หรือสีดำ ติดผลปีละครั้งในช่วงฤดูฝน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ปัจจุบันมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 19 แผง "นายดาบสมพร" และ แผง "คุณเล็ก" ตรงกันข้ามโครงการ 17 ราคาสอบถามกันเอง

การปลูก เติบโตได้ในดินร่วนปนทราย ทนแล้งได้ดี ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง   เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือหากมีที่มากพอปลูกจำนวนหลายๆต้น เก็บผลขายได้ หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคนต้นเดือนละครั้ง สลับกับใส่ปุ๋ยบำรุงต้นสูตร 15-15-15
ครึ่งเดือนครั้ง ตัดแต่งกิ่งสม่ำเสมอ จะทำให้ "น้อยหน่า-ครั่ง" เติบโตอย่างแข็งแรงและมีผลดก ผลใหญ่ รสชาติหวานหอมอร่อยเมื่อถึงฤดูกาลครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/13667
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"สิงโตหูหมา" น่ารักเหมือนมีชีวิต


"สิงโตหูหมา" น่ารักเหมือนมีชีวิต

Pic_15299

ผม เคยเขียนถึงกล้วยไม้สกุลสิงโตที่มีชื่อว่า "สิงโตหูหมา" ไปแล้ว แต่ยังมีผู้อ่านไทยรัฐอีกจำนวนมากที่พลาดการอ่านรายละเอียดขอให้ช่วยลงในคอลัมน์ อีกครั้ง เพราะต้องการซื้อไปปลูกประดับ และขอให้ แนะนำแหล่งขายด้วย ประกอบกับที่พบว่ามีผู้นำกล้วยไม้ ชนิดนี้วางขายและกำลังมีดอกสวยงามน่ารักมาก จึงรีบถ่ายภาพพร้อมนำเรื่องสนองความต้องการของผู้อ่านทันที

สิงโตหูหมา หรือ  CIRRBOPETALUM   BICOLOR LINDL. เป็นกล้วยไม้อิงอาศัยจำพวกที่มีการเจริญทางด้านข้าง ลำต้น หรือลำลูกกล้วยกลมเป็นเหลี่ยมสันสูงได้ไม่เกิน 2 นิ้วฟุต ปลายต้นแหลม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกบริเวณปลายยอด หรือปลายลำลูกกล้วย เป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมน โคนป้าน ก้านใบยาว 1-1.5 นิ้วฟุต โคนก้านใบเป็นกาบติดอยู่บนยอดลำต้น    หรือยอดลำลูกกล้วย เนื้อใบหนา แข็ง สีเขียวสด ใบมีขนาดใหญ่

ดอก ออกเป็นช่อที่ซอกใบ หรือที่ปลายยอดต้น แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณครึ่งฟุต ลักษณะดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกเป็นสีขาว มีลายเส้นสีแดงอมชมพูแทงขึ้นจากโคนกลีบเลี้ยงและโคนกลีบดอก ซึ่งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกจะมีขนาดใหญ่ และยาวมาก ดูคล้ายใบหูของสุนัขพันธุ์ต่างประเทศที่มีหูใหญ่และยาวพับห้อยลงข้างใบหน้า ส่วนกลีบปากมีรูปร่างเหมือนลิ้นสุนัขยื่นยาวออกมา และปลายม้วนงอลงเล็กน้อย เป็นสีเหลือง มีแต้มสีแดงอมส้ม เมื่อกลีบปากถูกลมพัดจะกลอกกลิ้งไปมาทำให้ดูเหมือนมีชีวิตจริง น่ารักน่าชมยิ่ง ชาวต่างชาติจึงนิยมเรียกกล้วยไม้ ชนิดนี้ว่า "ด๊อก เอียร์ ออร์คิด" ดอกเมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 1.5-2 นิ้วฟุต เวลามีดอกหลายๆช่อ จะดูงดงามสดใสมาก ดอกออกช่วงระหว่างเดือน เมษายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีแยกต้นที่แตกขึ้นจากหน่อ หรือเหง้า พบแห่งเดียวในประเทศไทยคือป่าดิบเขา จ.กาญจนบุรี

มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "คุณวิรัช" หน้าธนาคารออมสิน ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกประดับกันแพร่หลายในเวลานี้โดยปลูกลงกระถางแขวน หรือปลูกให้เกาะซากไม้แห้งขนาดใหญ่   ใช้ เครื่องปลูกตามแบบการปลูกกล้วยไม้ ทั่วไป คือถ้าปลูกลงกระถางใช้อิฐมอญ ถ่านดำ ทุบรองก้นกระถาง 1 ใน 3 ความสูงของขอบกระถาง นำต้นลงปลูกปิดทับด้วยขุยมะพร้าวแห้ง หรือกาบมะพร้าวแห้ง นำไปแขวนในที่แจ้ง รดน้ำเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยกล้วยไม้ ละลายน้ำฉีดอาทิตย์ละครั้ง หากปลูกให้เกาะซากไม้แห้ง ใช้กาบมะพร้าวแห้งหุ้มเหง้าผูกให้แน่น รดน้ำบำรุงปุ๋ยเหมือนกัน ก่อนถึงฤดูกาลติดดอกลดการให้น้ำลงเหลือ 2-3 วันครั้ง พร้อมฉีดพ่นปุ๋ยสูตร 9-24-24 อาทิตย์ละครั้ง ประมาณ 4 ครั้ง จะทำให้มีดอกสวยงามครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/15299
--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"เงินหนุน" ดอกสวยหอม

"เงินหนุน" ดอกสวยหอม

Pic_16177

ไม้ต้นนี้ พบมีวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ผู้ขายไม่รู้ว่าเป็นไม้จากไหน ทราบเพียงว่าเป็นไม้ยืนต้นอยู่ในวงศ์ ANONACEAE  เวลามีดอกรูปทรงของดอกและสีสันของดอกสวยงามมาก  เจ้าของจึงตั้งชื่อว่า  "เงินหนุน" และที่สำคัญดอกมีกลิ่นหอมดีด้วย จึงกำลังเป็นที่นิยมปลูกแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม จากการเห็นรูปทรงของดอกจากภาพที่ผู้ขายแขวนไว้กับต้นที่วางขายแล้ว   เชื่อว่าต้น "เงินหนุน"  น่าจะอยู่ในสกุลเดียวกับพวกต้น  ระฆังภู ระฆังเขียว  ระฆังสายยาว  ระฆังใต้  หมาดำ  และ หมักห้อ อย่างแน่นอน ซึ่งไม้เหล่านี้จะมีขึ้นตามป่าธรรมชาติของประเทศไทยเกือบทุกภาค  แต่สีของดอก  "เงินหนุน"  และช่อดอกจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน  ส่วนรูปทรงของดอกเหมือนกันเปี๊ยบ  ผมจึงอยากเรียกชื่อว่า "ระฆังชมพู"  มากกว่า  "เงินหนุน"

เงินหนุน เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-8 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เป็นพุ่มโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ใบมีขนาดใหญ่มาก สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยไม่น้อยกว่า 30-40 ดอกขึ้นไป  ก้านช่อดอกมีขนละเอียดสีน้ำตาล  กลีบเลี้ยงเล็กและสั้น  เป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกับสีก้านดอก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดรูประฆัง ปลายแยกเป็นกลีบดอก  5  กลีบ  ปลายกลีบแหลม  ขอบกลีบเป็นสีขาว  ผนังหลอดดอกด้านในและผิวดอกด้านนอกเป็นสีชมพูสดใสและสีชมพูเข้ม  ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้วฟุต ดอกมีกลิ่นหอม เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกัน  จะดูสวยงามน่ารักและส่งกลิ่นหอมกระจายเป็นที่ประทับใจมาก

ผล รูปทรงกลม ติดผลเป็นช่อหรือเป็นกลุ่ม แต่ละช่อจะมีผลไม่น้อยกว่า 20-30 ผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีดำ  ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนเมษายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนสิงหาคม และติดผลแก่ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ปัจจุบัน "เงินหนุน" มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง "คุณพร้อมพันธุ์" ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป  เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้าน  เป็นไม้ชอบแดด  ไม่ชอบน้ำท่วมขัง  หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น  บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์จำพวกขี้วัวหรือขี้ควายแห้งกลบฝังดินรอบโคนต้นเดือนละครั้ง  พร้อมตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ "เงินหนุน" หรือผมเรียกเองว่า  "ระฆังชมพู"  มีดอกดกสีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจเมื่อถึงฤดูกาลครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/16177

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

"ฟอร์เก็ตมีน็อตนางฟ้า" หลายสีหอม

Pic_16430

คน ส่วนใหญ่จะรู้จักและนิยมปลูกฟอร์เก็ตมีน็อตเฉพาะที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม ต้นเล็ก มีดอกเป็นสีฟ้า และมีตำนาน ของชาวฝรั่งเล่าขานมาแต่โบราณว่า อัศวินชาวเยอรมันผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดเกราะเต็มยศเพื่อออกรบ ระหว่างล่ำลาคนรัก ได้ก้มลงไปเก็บดอกไม้เพื่อมอบให้หญิงสาวแล้วพลัดตกลงไปในน้ำ ไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้เพราะชุดเกราะมันหนัก และก่อนที่อัศวินหนุ่มจะจมหายไปในน้ำ ได้โยนดอกไม้ให้หญิงคนรักพร้อมตะโกนว่า "อย่าลืมฉัน" หรือ "ฟอร์เก็ตมีน็อต" และกลายเป็นชื่อดอกไม้ดังกล่าวมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ส่วน "ฟอร์เก็ตมีน็อตนางฟ้า" เป็นพันธุ์ใหม่นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย มีความเป็นพิเศษกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม คือ ต้นใหญ่ ดอกใหญ่ มีหลายสี และที่ถือว่าสุดยอด ได้แก่ ดอกจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวด้วย จึงกำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกแพร่หลายอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

ฟอร์เก็ตมีน็อตนางฟ้า หรือ ANGELFACE PINK อยู่ในวงศ์ ANGELONIA เป็นไม้น้ำ กึ่งล้มลุกอายุ 2 ปี ลำต้นตั้งตรง สูงได้ 1 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม 3 ใบ เป็นชั้นๆ ตั้งแต่โคนต้นจนถึงปลายยอด โดยใบที่อยู่ ส่วนโคนต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าใบที่อยู่ถัดขึ้นไปตามลำดับจนถึงปลายยอด ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนติดกับต้น ส่วนใหญ่จะแตกกิ่งจากโคนต้น แต่ละกิ่งจะชูตั้งตรง

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบตั้งแต่ กลางลำต้นขึ้นไปจนถึงยอดลำต้น แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก เรียงเบียดกันเป็นระเบียบ ดอกบานเต็มที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้วฟุต มีหลายสี เช่น สีขาว ชมพู ม่วง และ สีเม็ดมะปราง ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ถ้าปลูกเป็นกลุ่ม แบ่งเป็นโซนแต่ละสี เมื่อมีดอกดกและดอกบานพร้อมๆกัน จะดูสวยงามน่ารักเป็นธรรมชาติพร้อมส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกรู้สึกประทับใจดีมาก ดอกออกได้เรื่อยๆ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น ปัจจุบัน "ฟอร์เก็ตมีน็อตนางฟ้า" มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "ป้านิล" หน้าตึกกองอำนวยการ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดและชอบน้ำมาก ดังนั้นหลังปลูกจึงต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอและใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 เดือนละครั้ง   จะมี ดอกสวยงามไม่ขาดต้น

ส่วนการขยายพันธุ์ เมื่อต้นแม่สูงเกือบ 2 ฟุต ให้ตัดต้นจากโคน 1 คืบ นำไปตัดแบ่งเป็น 2 ท่อน แช่น้ำในภาชนะสูง 3 นิ้ว ทิ้งไว้ 10-15 วัน จะมีรากงอกออกมาสามารถนำไปปลูกได้เลย แต่ช่วงแรกควรตั้งในที่รำไร 10 วัน และให้ปุ๋ย 16-16-16 หนึ่งครั้งก่อนนำไปปลูกประดับกลางแจ้ง ส่วนต้นแม่ที่ถูกตัดจะสามารถแตกกิ่งขึ้นมาได้อีกและอยู่ได้ 2 ปี ก่อนหมดอายุครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/content/edu/16430

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

ทีโอทีเล็งเพิ่มศูนย์บริการลูกค้าเป็น 400 แห่งปีนี้

ทีโอทีเล็งเพิ่มศูนย์บริการลูกค้าเป็น 400 แห่งปีนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2552 12:00 น.
       ทีโอทีตั้งเป้าเพิ่มศูนย์บริการลูกค้าเป็น 400 แห่งปลายปีนี้จากเดิมมีให้บริการแล้ว 387 แห่งเพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น พร้อมวางงบประมาณ 300 ล้านบาทสำหรับขยายสาขาและซ่อมบำรุงในระยะเวลา 5 ปีล่าสุดเปิดแห่งใหม่ที่ศูนย์ราชการ
       

       นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที เปิดเผยว่า ทีโอทีคาดว่าสามารถขยายศูนย์บริการสาขาต่างๆ ทั่วประเทศเพิ่มเป็น 400 แห่ง จากปัจจุบันที่มีศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศรวมทั้งสิน 387 แห่ง และได้วางงบประมาณสำหรับขยายสาขาและพัฒนาปรับปรุง ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2555 เป็นวงเงิน 300 กว่าล้านบาท
       
       ส่วนการเปิดบริการในปีนี้ที่ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ พัทยา จามจุรีสแควร์ ศูนย์การค้าบิ๊กซีติวานนท์ และศูนย์ราชการ  และมีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก อาทิ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์รามคำแหง บิ๊กซีบางพลี โลตัส จรัญสนิทวงศ์ ฟิวเจอร์รังสิต โลตัส หาดใหญ่ เชียงราย  
       

       ล่าสุดทีโอทีเปิดศูนย์บริการลูกค้าสาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ซึ่งเป็นศูนย์บริการขนาดกลาง (TOT SHOP – M) และลูกค้าประชาชนทั่วไปที่อยู่บริเวณถนนแจ้งวัฒนะและลูกค้าที่อยู่ในศูนย์ราชการทั้งหมด ทีโอที ได้วางรูปแบบศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศแบ่งออกเป็น 6 แบบ 6 ขนาด ประกอบด้วย
1. ทีโอที เปย์เมนต์ เซ็นเตอร์
2. ศูยน์บริการ ขนาดใหญ่
3.ศูนย์บริการขนาดกลาง
4.ศูนย์บริการขนาดเล็ก
5.ศูนย์บริการ แบบชอปอินชอป
6. ศูนย์บริการ คีออสก์
       
       ทั้งนี้ ทีโอทีเป็นผู้ที่ติดตั้งวางระบบโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมหลักในศูนย์ราชการตามที่ได้บันทึกเงื่อนไขข้อตกลงระหว่าง บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ (ธพส.)  ซึ่งทีโอทีให้ จัดจ้างบริษัท ไทยทรานสมิชชั่น อินดัสทรี เป็นผู้ติดตั้งระบบโทรศัพท์พื้นฐาน IP-Phone และระบบสื่อสารข้อมูล ภายในศูนย์ราชการกรุงเทพ ถนนแจ้งวัฒนะโดยใช้อุปกรณ์ของบริษัท ทรีคอม มูลค่า 323 ล้านบาท เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ  
       
       ศูนย์ราชการดังกล่าวจะมีหน่วยงานราชการย้ายเข้ามาอยู่ทั้งหมด 32 หน่วยงาน แต่เบื้องต้นจะย้ายเข้ามาก่อน 8 หน่วยงาน โดยทีโอทีได้ให้บริการเลขหมายไอพี โฟนในศูนย์ราชการแล้ว 3,500 เลขหมาย แบ่งเป็น 3,000 เลขหมาย ที่สามารถใช้งานทั้งระบบเสียงและข้อมูลโดยภายในศูนย์ราชการแห่งใหม่ ทีโอที ได้รับสัมปทานการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานให้บริการด้านเสียงอย่างเดียว เพียงรายเดียว ในระยะเวลา 15 ปี ส่วนการให้บริการโทรคมนาคมด้านข้อมูล ธพส. ผู้ดูแลโครงการศูนย์ราชการ จะเปิดให้ผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขัน โดยบริการของทีโอที มีบริการโทรศัพท์พื้นฐาน พร้อมบริการเสริม ไอพี โฟน เซอร์วิส บริการโทรศัพท์สาธารณะ เว็บเพย์โฟน ที่สามารถใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้ในเครื่องเดียว  บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศผ่านรหัส 007 และ 008 โดยโครงข่ายที่ทีโอทีวางในศูนย์ราชการเป็นโครงข่ายแบบ NGN หรือ Next Generation Network ที่ให้บริการด้านเสียงและเชื่อมโยงข้อมูลในหน่วยงานได้
       
       นอกจากนี้ ทีโอทีมีแผนที่จะติดตั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย (ไว-ไฟ) ให้ครอบคลุมภายในศูนย์ราชการให้มากขึ้น โดยตามสัญญาของ ธพส. ทีโอที จะต้องติดตั้งไวไฟ ให้ครบ 150 จุดทั้งโครงการ
       
       Company Related Links :
       TOT

http://www.manager.co.th/Telecom/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076238


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.thaiyogainstitute.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://www.pdc.go.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/