วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กางข้อมูลน้ำตาลขาด ปมจุกอกพาณิชย์-อุตฯ


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7031 ข่าวสดรายวัน


กางข้อมูลน้ำตาลขาด ปมจุกอกพาณิชย์-อุตฯ


คอลัมน์ รายงานพิเศษ




นับ ตั้งแต่มีข่าวปริมาณน้ำตาลในไทยเริ่มตึงตัวและราคาแพง ส่งผลให้อาหารบางอย่างที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบฉวยโอกาสขึ้นราคาบ้าง แล้ว

กระทรวงพาณิชย์ เริ่มตรวจสอบพบปริมาณน้ำตาลในไทยตึงตัวมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ หลัง ราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับสูงขึ้นถึง 23-24 บาท/ก.ก. จากก่อนหน้าอยู่ในระดับ 15-18 บาท/ก.ก.

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ระบุว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศพบว่าใน 10 จังหวัดหาซื้อยากและมีราคาแพงกว่าราคาควบคุม และอีก 35 จังหวัดขายน้ำตาลทรายเกินราคาควบคุม บางจังหวัดสูงถึง 26-27 บาท/ก.ก. จากราคาควบคุม 23.50 บาท/ก.ก.

สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากผู้ผลิตอาหาร และเครื่องดื่มเพื่อการส่งออกที่ขอใช้น้ำตาลโควตา ค (ส่งออก) มาแอบใช้น้ำตาลโควตา ก (จำหน่ายในประเทศ) เพราะมีราคาถูกกว่า

นอก จากนี้ยังมีการลักลอบนำน้ำตาลในไทยส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านตาม แนวชายแดน และเกิดจากโรงงานน้ำตาลลดปริมาณการส่งน้ำตาลไปยังผู้ค้าส่ง (ยี่ปั๊ว) หากยี่ปั๊วรายใดต้องการในปริมาณปกติต้องจ่ายค่าขนส่งเพิ่มขึ้น

จาก ปัญหาดังกล่าวรมว.พาณิชย์ มอบหมายให้กรมการค้าภายในไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อขอจัดสรรน้ำตาลทรายจำนวน 4-5 แสนกระสอบ (กระสอบละ 50 ก.ก.) มาเก็บเป็นสต๊อกของรัฐบาล เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรือทำเป็นน้ำตาลทรายธงฟ้าหากเกิดปัญหารุนแรง ขึ้น

หากกอน.ไม่จัดสรรให้ นางพรทิวาขู่ว่าจะหารือในระดับรัฐมนตรีกับนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม

อย่าง ไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการกอน.ที่มีนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่มีน.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าภายในเข้าร่วมประชุมด้วย ยังไม่มีข้อเสนอการขอจัดสรรน้ำตาลมาจากกระทรวงพาณิชย์

แต่ที่ประ ชุมกอน.วางแนวทางเพื่อแก้ปัญหาน้ำตาลตึงตัวไว้ ประกอบด้วย ขอความร่วมมือไปยังโรงงานน้ำตาลทั้ง 46 แห่ง ในการขายน้ำตาล ด้วยการให้รถบรรทุกที่ขนน้ำตาลเซ็นสลักหลังให้ทราบว่าจะขนน้ำตาลไปยังที่ใด เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ไปตรวจสอบน้ำตาลว่ามีอยู่จริงหรือไม่

และช่วงนี้จะไม่ต่ออายุการขนย้ายน้ำตาลให้จากที่มีอายุเพียง 15 วัน และสามารถต่ออายุไปได้อีก 15 วัน พร้อมเพิ่มบทลงโทษโรงงานผลิตอาหารเพื่อการส่งออก กรณีขอโควตา ค ชะลอ ยกเลิก หรือใช้ไม่ถึง 70% จะตัดสิทธิ์ใช้น้ำตาลโควตา ค เป็นเวลา 5 ปี จากเดิมตัดสิทธิ์เพียง 1 ปี

พร้อมกันนี้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและ น้ำตาลทราย (สอน.) และกรมการค้าภายในดูแลการขึ้นงวดน้ำตาลให้เป็นไปตามประกาศ และประสานไปยังตำรวจ กรมศุลกากรในการดูแลการขนย้ายน้ำตาลตามแนวชายแดน

ทั้ง 2 หน่วยงานขอเวลา 10 วัน ในการแก้ปัญหาน้ำตาล คาดว่าไม่เกินต้นเดือนมี.ค.นี้รู้ว่าขาดแคลนจริงหรือไม่



หากถามทางฝั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งจากโรงงานน้ำตาล และสอน. ยืนยันเสียงแข็งมาตลอดว่าน้ำตาลในไทยมีเพียงพอ

นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการสอน. ระบุว่า กอน.มีมติให้เพิ่มปริมาณน้ำตาลโควตา ก ในปีนี้อีก 10.5% จาก 19 ล้านกระสอบ เป็น 2.1 ล้านกระสอบเพื่อให้เป็นไปตามภาวการณ์ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทำให้การขึ้นงวดทุกสัปดาห์เพิ่มเป็น 4.03 หมื่นตัน จากเดิม 3.65 หมื่นตัน

ขณะนี้ยังเหลือน้ำตาลที่ยังไม่ได้ขึ้นงวดอีกกว่า 1.7 ล้านตัน จึงขอให้มั่นใจว่าน้ำตาลมีเพียงพอสำหรับการบริโภคในไทยแน่นอน

ด้านนายพงศ์เทพ จารุอำพรพรรณ รองเลขาธิการสอน. กล่าวภายหลังหารือร่วมกับโรงงานผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่แจ้งขอใช้ สิทธิการซื้อน้ำตาลทรายโควตา ค (ส่งออก) พิเศษ 106 รายเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ว่า ภายในต้นเดือนมี.ค.น่าจะประกาศ ปรับปรุงระเบียบการตัดสิทธิ์การใช้โควตาน้ำตาลได้

ผู้ประกอบการ 106 รายยื่นขอใช้โควตา ค พิเศษประมาณ 3.6 แสนตัน พบว่าขณะนี้มีจำนวน 24 รายที่ยังไม่มีการทำสัญญาซื้อขาย รวมถึงทำแล้วแต่ไม่ได้รับปริมาณน้ำตาลตามที่ขอ คงต้องติดตามเพื่อลงโทษต่อไป



นาย ประจวบ ตยาคีพิสุทธิ์ รองประธานกรรมการบริหารสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มถูกมองเป็นจำเลยของสังคมว่ากักตุนน้ำตาลทั้งๆ ที่การใช้น้ำตาลโควตา ค พิเศษ เพียง 3.6 แสนตันคิดเป็นเพียง 5% ของน้ำตาลทั้งหมด 7 ล้านตันเท่านั้น

จึงเสนอไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ให้เรียกทุกหน่วยงานที่ผลิตและใช้น้ำตาล หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอ้อยและน้ำตาลมาหารือ เพื่อดูว่าขาดแคลนจริงหรือไม่ และเกิดจากอะไร

ไม่อยากให้ออกมากล่า วหาลอยๆ ว่าเป็น กลุ่มผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ยืนยันว่าปัญหาขณะนี้ไม่ได้เกิดจากโรงงานเครื่องดื่มกักตุน ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร อยากให้มองในภาพรวมมากกว่า

นายประกิต ประทีปะเสน ประธานคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย กล่าวปฏิเสธในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าโรงงานน้ำตาลส่งสินค้าลดลงว่า น่าจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะการจำหน่ายน้ำตาลมีกำหนดโควตาแต่ละสัปดาห์ชัดเจนว่าน้ำตาลออกจากโรงงาน สัปดาห์ละ 4.03 แสนกระสอบ (4.03 หมื่นตัน) ทุกวันจันทร์

การจ่ายน้ำตาลของโรงงานจะต้องมีตั๋วน้ำตาลจากศูนย์บริหารน้ำตาลที่สอน.ดูแล และจะมีคนจากสอน. รวมถึงชาวไร่อ้อยมาคอยควบคุมหน้าโรงงานอีกครั้ง เพราะน้ำตาลเป็นสินค้าที่ต้องเข้าระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ชาวไร่จะได้ไป 70% ส่วนโรงงานได้ 30%

มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เกิดจากเมื่อผู้บริโภค และร้านค้าต้องการซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลัวสินค้าขาดแคลน



จาก ข้อมูลทั้งหมด เมื่อมาดูเรื่องการขอจัดสรรโควตาของนางพรทิวาเพื่อไปบริหารจัดการเองนั้น จึงสร้างความหนักใจให้ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก

เพราะขณะนี้โรงงานน้ำตาลขายน้ำตาลล่วงหน้าไปจนเกือบหมดแล้ว การจัดสรรให้กระทรวงพาณิชย์จึงเป็นสิ่งที่ยากมาก

สิ่งที่น่ากังวลคือ ราคาที่จะตัดโควตาไปนั้น ทางกระทรวงพาณิชย์ต้องการที่ราคา 15 บาท/ก.ก. ราคานี้ต่ำกว่าราคาหน้าโรงงานที่กำหนดไว้ว่าอยู่ 19-20 บาท

เงินส่วนต่าง 5 บาท/ก.ก. มีข้อกำหนดจากคณะรัฐมนตรีว่าต้องหักไปใช้หนี้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กท.) กู้มาเพิ่มค่าอ้อยให้กับชาวไร่และชดเชยให้กับโรงงานในช่วงที่ราคาอ้อยและ น้ำตาลตกต่ำ

ตอนนี้กท.ยังมีฐานะติดลบเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เป็นหนี้ของธ.ก.ส.ถึง 1.6 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) หนี้ค้างชำระโรงงานอีกเกือบ 3,000 ล้านบาท

ขณะที่ระบบของอ้อยและน้ำตาลไทยไม่เหมือนกับพืชเกษตรตัวอื่นๆ เพราะมีพ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทรายในการควบคุมดูแล

กระทรวง อุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลต้นทางตั้งแต่การปลูกจนถึงเข้าโรงงานน้ำตาล และจัดสรรน้ำตาลเพื่อให้ออกจากโรงงาน พร้อมทั้งประกาศราคาหน้าโรงงาน การเปลี่ยนแปลงราคาต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี

หลังออกจากโรงงานแล้วเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ในการดูแล รวมถึงดูแลราคาขายปลีก ซึ่งขณะนี้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม

จึงไม่แปลกที่ต่างฝ่ายต่างโทษว่าต้นตอของน้ำตาลขาดในแต่ละครั้งนั้นเป็นความผิดของอีกฝ่าย

พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทราย ยังมีข้อกำหนดเรื่องของระบบโควตา น้ำตาลต้องจัดสรรตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการกำหนดราคาอ้อยทั้งขั้นต้น และขั้นปลาย

กว่าจะได้ข้อสรุปในแต่ละเรื่อง ชาวไร่อ้อย โรงงานและฝ่ายราชการหารือกันอย่างหนัก หลายรอบ เพราะทั้งชาวไร่และโรงงานต้องการให้ผลประโยชน์ตกที่ฝ่ายของตัวเองให้มากที่ สุด

จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่อยู่ๆ กระทรวงพาณิชย์จะมาฉกโควตาน้ำตาลไปอย่างหน้าตาเฉย


หน้า 8
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEk0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5T0E9PQ==

--
โปรดอ่าน blog
www.pridiinstitute.com
www.nakkhaothai.com
www.pcpthai.org
http://wdpress.blog.co.uk
http://rsm2009-rsm2009.blogspot.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เปิดแนวฎีกา′คดีร่ำรวยผิดปกติ′ในศาลฎีกา




วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:10:13 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดแนวฎีกา′คดีร่ำรวยผิดปกติ′ในศาลฎีกา ไขธงคำตอบ 7.6 หมื่นล้าน"ทักษิณ" ยึดทั้งก้อนหรือยึดบางส่วน?หลาย

คนสนใจว่าผลจะออกมาอย่างไร? “ประชาชาติธุรกิจ”เปิดแนวฎีกาที่อาจเทียบเคียงกันได้ !!

26 กุมภาพันธ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้กำหนดพิพากษา คดีร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลายคนสนใจว่าผลจะออกมาอย่างไร? "ประชาชาติธุรกิจ"เปิดแนวฎีกาที่อาจเทียบเคียงกันได้ ...แน่นอนว่า ผลคำพิพากษามีอยู่ 3 แนวทางเท่านั้น คือ 1.ยกฟ้อง 2.ยึดทรัพย์ทั้งหมด และ 3. ยึดทรัพย์บางส่วน
ถ้าเป็นแนวทางแรกอาจมีเหตุผลรองรับ 2 ข้อคือ
1. "ที่มา"ของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มาจากการทำรัฐประหาร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำนอง "ผลไม้พิษ จากต้นไม้ที่เป็นพิษ" จึงยกคำร้องและไม่ต้องพิจารณาในประเด็นอื่น
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิด ไม่ได้ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและครอบครัว
ถ้าเป็นแนวทางที่สอง "ยึดทรัพย์ทั้งหมด"
อาจมีฐานคิดจากทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ทั้งหมดเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณจริง และได้มาโดยมิชอบ แม้ว่าทรัพย์สินส่วนหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ก่อนเล่นการเมืองก็ตาม
ดังนั้นเมื่อทรัพย์สินส่วนหนึ่งถูกใช้เพื่อกระทำความผิดจึงต้องยึดทั้งก้อน มิใช่คืนในส่วนต้นทุนเป็นทรัพย์สินเดิม หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
ยกตัวอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณไปซื้อที่ดินไว้แปลงหนึ่ง แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณตัดถนนผ่านที่ติดของตนเอง เมื่อมีความผิดก็ต้องยึดที่ดินทั้งแปลง มิใช่แค่บางส่วน
ถ้าเป็นแนวทางที่สาม "ยึดทรัพย์บางส่วน"
อาจมีฐานคิดจากใช้จำนวนทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ในช่วงปี 2543-2544 เป็นพื้นฐานแล้วหักด้วยจำนวนทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นหลังถูกประหารในช่วงปี 2549 ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องไปดูในข้อเท็จจริงว่าหุ้นในกลุ่มชินคอร์ป ตอนต้นปี 2543 ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ และ ตอนต้นปี 2549 ก่อนขายให้กลุ่มเทมาเส็กในระยะเวลาช่วง 6 ปีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?
ผิดปกติหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดว่าจะต้องยึดทรัพย์ทั้งก้อน หรือบางส่วน หากนำคำพิพากษาของศาลฎีกาเคยตัดสินคดีเจ้าหน้ารัฐก่อนหน้านี้ก็จะพบข้อมูล ที่น่าสนใจ
ในช่วงที่ผ่านมามีคดีร่ำรวยผิดปกติที่ศาลฎีกาตัดสินแล้ว 2 คดี ได้แก่
คดีพลเอกชำนาญ นิลวิเศษ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ 69.1 ล้าน
คดีนายเมธี บริสุทธิ์ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ป.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 16.8 ล้านบาท
และคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว 1 คดี ได้แก่ คดีนายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) มีมติว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ 233.8 ล้านบาท
2 คดีแรกศาลฎีกาตัดสิน "ยึดทรัพย์บางส่วน"
คดีพลเอกชำนาญ นิลวิเศษ พฤติกรรมคือเอาทรัพย์สินที่ได้รับมาในช่วงรับราชการ ได้แก่ บ้าน ที่ดิน เงินฝาก และหุ้นเอาไว้กับตัวเองเพียง 6.6 ล้านบาท ที่เหลือยักย้ายถ่ายเทไปให้นางประนอม นิลวิเศษ และ บุตรชาย
มีคนร้องเรียนว่า พลเอกชำนาญได้ลงทุนก่อสร้างหมู่บ้านพรสวรรค์ที่ปากน้ำชุมพร มูลค่า 40 ล้านบาทบาท ลงทุนในบริษัท ทรานส์โอเชียนไลน์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เดินเรือทางทะเล) เป็นหุ้นส่วนประมาณ 15-16 ล้านบาท สร้างบ้านพักในเนื้อที่ 4-5 ไร่ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ราคาหลายล้านบาท ลงทุนเปิดร้านอาหารในต่างประเทศ ลงทุนในโรงแรมปอยหลวง จังหวัดเชียงใหม่
คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าทรัพย์สินบางรายการ อาทิ ที่ดิน หุ้น พันธบัตร และเงินฝากในธนาคารมูลค่า 6,628,425.22 บาท ที่อยู่ในชื่อของพลเอกชำนาญ และโฉนดที่ดินเลขที่ 20772 แขวงบางประกอบเขตราษฎร์บูรณะ และบ้านเลขที่ 137/1 ซอย 27 ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงบางประกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ราคา 650,000 บาท ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางประนอม ไม่มีลักษณะปิดบังอำพราง และมีมูลค่าพอสมควรกับรายได้
ศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร จำนวน 3 แปลงที่ดินตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5 แปลง ,บ้าน 3 หลัง ได้แก่ บ้านเลขที่ 23/2 ซอยวิพัชร ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม บ้านเลขที่ 336 และ 317 ซอย 27 ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงบางประกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ และ เงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาสามพราน 1 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพระประแดง 1 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาบุคคโล 2 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาราษฎร์บูรณะ 2 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาสามพราน 1 บัญชี ตกเป็นของแผ่นดิน
คดีนายเมธี บริสุทธิ์ ป.ป.ป. เห็นว่านายเมธีไม่สามารถแสดงการได้ทรัพย์สินมาโดยชอบ 3 รายการ รวมเป็นเงิน 16.8 ล้านบาท
1. เงินจากการซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ซึ่งนายเมธีอ้างว่าได้กำไร 4,826,077 บาท แต่จากการคำนวณโดยเฉลี่ยราคาซื้อขายต่อหุ้นแล้ว นายเมธีซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทดังกล่าวขาดทุนเป็นเงิน 8,969,628.50 บาท
2. เงินปันผลจากห้างหุ้นส่วนจำกัด สามย่านรามา จำนวน7,000,000 บาท ซึ่งนายเมธีไม่สามารถแสดงเอกสารหลักฐานว่า ห้างดังกล่าวมีกำไรและจ่ายเงินปันผลแก่นายเมธีในระหว่างที่ยังถือหุ้นอยู่ได้
ทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวนายเมธีมีเงินฝากเพียงเล็กน้อย เงินฝากจำนวนสูงผิดปกติเริ่มต้นขึ้นในระหว่างที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะทำงาน พิจารณากลั่นกรองการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
3. เงินจากการรับโอนสิทธิเรียกร้องเงินกู้ยืมจากนายมนูญ บริสุทธิ์ บิดาจำนวน 5,000,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่นายเมธีอ้างว่า นายประพันธ์ แพทย์เจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัท โรซ่าผลิตภัณฑ์อาหาร (ประเทศไทย) จำกัด กู้ยืมจากบิดา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการกู้ยืมเงินระหว่างนายมนูญกับนายประพันธ์ และ หลักฐานการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างนายมนูญกับนายเมธี ทั้งพินัยกรรมของนายมนูญยังระบุให้สิทธิเรียกร้องต่างๆ ตกเป็นของคุณหญิงโกสุม บริสุทธิ์ มารดานายเมธีแต่ผู้เดียว ประกอบกับการดำเนินกิจการของบริษัท โรซ่าผลิตภัณฑ์อาหาร (ประเทศไทย) จำกัด ขาดทุนตลอดมา
ศาลมีคำพิพากษาให้บริษัทดังกล่าวล้มละลาย ส่วนนายประพันธ์ก็มีหนี้สินมากจนต้องหลบหนีคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดตามพระ ราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยึดทรัพย์ 12 ล้านบาท
และศาลฎีกาพิพากษา วันที่ 30 มิถุนายน 2541 เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ ให้ยึดทรัพย์ 12 ล้านบาท
ส่วนคดีนายรักเกียรติ สุขธนะ ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่าหลังจากนายรักเกียรติรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข มีเงินเข้าฝากในธนาคารหลายแห่งเพิ่มขึ้น ทั้งบัญชีในชื่อของนางสุรกัญญา สุขธนะ ภรรยา และในชื่อบุคคลอื่นได้แก่ นายจิรายุ จรัสเสถียร อดีตคนสนิทและอดีตที่ปรึกษา, น้องภรรยา,น้องเพื่อนภรรยาโดยใช้ชื่อและใช้เช็คในชื่อบุคคลดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้ยักย้ายถ่ายเทโอนไปยังบุคคลใกล้ชิดอีกหลายคน
นายรักเกียรติอ้างว่าเงินส่วนหนึ่งมาจากการเล่นการพนันในต่างประเทศ แต่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาเมื่อ วันที่ 30 กันยายน 2546 ยึดทรัพย์ทั้งก้อน 233.8 ล้านบาท
ทั้ง 3 คดีแตกต่างจากคดี 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตรงที่ พ.ต.ท.ทักษิณออกนโยบายเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง หรือ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และเงินที่ถูกอายัดอยู่ นอกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ได้แสดงไว้ต่อ ป.ป.ช.
ขณะที่พฤติการณ์การกระทำความผิดของ พล.อ.ชำนาญ นายเมธี และ นายรักเกียรติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอก "ที่มา-ที่ไป"ได้ชัดเจน
วันตัดสิน 26 กุมภาพันธ์ จะรู้ว่าศาลฎีกาฯจะออกแนวทางไหน?
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1264061450&grpid=no&catid=04

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปอ - 178 ยกเว้นเงินได้จากการซื้ออสังหา.doc


ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๑๗๘)
    เรื่อง   กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้   เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุด
      ในอาคารชุด  เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
------------------------------
      อาศัยอำนาจตามความในวรรคสาม  แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่  ๒๗๑ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร  ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร  อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ  และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ดังต่อไปนี้
      ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
         (๑) ต้องเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
      อสังหาริมทรัพย์ตามวรรคหนึ่งต้องไม่เคยผ่านการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดมาก่อน  ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
            (๒) การโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อตาม  (๑) ให้ได้รับยกเว้นภาษีเท่ากับจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยต้องจ่ายไปในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
         (๓) กรณีผู้มีเงินได้มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อหลายแห่ง ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกแห่งรวมกันตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
                  (๔) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันซื้อ  ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกคน  โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนของกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน  แต่รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินจำนวนที่จ่ายจริงและไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
                  (๕) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว  ให้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เต็มจำนวนตามที่จ่ายจริง  แต่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
                  (๖) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้  และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี  ให้ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
                   (ก) ถ้าภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา ๕๗ เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ได้รับยกเว้นภาษีรวมกันตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
                              (ข) ถ้าภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา ๕๗ เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
         (๗) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ซึ่งต้องยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากกัน ให้ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
                   (ก) กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้สมรสกัน ซึ่งความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างยังคงได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
                              (ข) กรณีผู้มีเงินได้สมรสกัน  ต่อมามีสิทธิได้รับยกเว้นภาษี  ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
      ข้อ ๒ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้  ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองจากผู้ขายที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์  โดยหนังสือรับรองดังกล่าวต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
      ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามปี นับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ถึงแก่ความตาย
      ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีตามข้อ  ๑ และข้อ ๒ แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษี ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีไปแล้ว ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมของปีภาษี
      ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้  ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคำนวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา  ๔๒ ทวิ ถึงมาตรา ๔๖ แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
      ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป 
      ประกาศ  ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ 
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย  วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting! 
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"กบก๋องก๋อย" ผงไม้ขี้เลื่อยแต่งบ้านอารมณ์ดีสไตล์พื้นเมือง

“กบก๋องก๋อย” ผงไม้ขี้เลื่อยแต่งบ้านอารมณ์ดีสไตล์พื้นเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 สิงหาคม 2552 09:51 น.
กบก๋องก๋อย ในท่าทางต่างๆ
       กบไม้ขี้เลื่อยอารมณ์ดี ผลิตภัณฑ์ของแต่งบ้าน ที่สามารถเรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี เพราะด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น จากการกำหนดท่าทางต่างๆ และจับเจ้ากบไม้ขี้เลื่อยมาแต่งตัวในชุดพื้นเมืองชาวเขาภาคเหนือ ประกอบกับฝีมือการปั้นที่ยอดเยี่ยม ส่งผลให้ผลงานกบไม้ขี้เลื่อย ของ “นางสาวธมนันท์ ไชยยา” ได้รับความสนใจและเรียกเงินในกระเป๋าผู้ที่ผ่านไปมาได้ไม่ยาก
       

       นางสาวธมนันท์ เล่าว่า ที่มาของกบไม้ขี้เลื่อย เกิดขึ้นมาจากเดิมครอบครัวรวมถึงญาติๆทำผลิตภัณฑ์ไม้มะม่วง อาทิ แจกัน ภาชนะต่างๆ ฯ ออกขาย แต่ประสบปัญหาการแข่งขันที่สูง เพราะพื้นที่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิด มีการทำผลิตภัณฑ์ไม้มะม่วง ออกมาขายกันเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เอง ตนเองจึงต้องคิดหาวิธีทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ซ้ำกับใครออกมาจำหน่าย เพื่อลดการแข่งขัน และตัดราคากันเอง เหมือนกับผลิตภัณฑ์จากไม้มะม่วง

นางสาวธมนันท์ ไชยยา เจ้าของผลงาน
       ทั้งนี้ ยังคงเลือกทำผลิตภัณฑ์จากไม้ เพราะมีวัตถุดิบในพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเศษไม้เหลือทิ้ง ที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง ตอไม้ รากไม้ และผงไม้ขี้เลื่อยที่เหลือจากการโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ ซึ่งไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไร จึงได้ลองมาทำตุ๊กตาไม้ขี้เลื่อย และที่เลือกทำรูปกบ เขียด เพราะทุกคนมักจะมองว่า รูปร่าง หน้าตาของกบ และเขียดตามธรรมชาติ ดูน่าเกลียด ก็เลยเกิดความคิดว่าอยากจะทำ กบ เขียด ที่หลายคนมองดูน่าเกลียด มาแต่งตัวใหม่ให้ออกมาน่ารัก จึงได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ผงไม้ขี้เลื่อย ที่มีชื่อว่า “กบก๋องก๋อย”
       
       'กบก๋องก๋อย' เป็นการนำผงไม้ขี้เลื่อย ที่เหลือทิ้งจากการทำงานไม้ มาปั้นขึ้นรูป โดยเน้นรูปแบบที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน จากรูปร่างหน้าตาและท่าทางที่ดูตลก แต่แฝงความคิดสร้างสรรค์งานศิลปะเข้าไป เพราะเป็นสิ่งที่ เจ้าของผลงานต้องการจะให้เป็น เนื่องจากโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทำงานศิลปะ ส่วนเครื่องแต่งกาย เน้นผ้าพื้นเมืองชาวเขา และบางตัวมีการใส่ปลอกคอทองเหลืองให้เหมือนกับชาวเขา คอยาว ซึ่งเหตุผลนำเครื่องแต่งกายพื้นเมืองมาใส่ให้กับ เจ้ากบก๋องก๋อย เพราะต้องการสื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์พื้นเมืองของภาคเหนือ และนักท่องเที่ยวสามารถซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกได้

แกะสลักพระพุทธรูปจากตอไม้
       “รูปแบบ และท่าทางต่างๆ ไม่ใช่ท่าทางของกบ หรือ เขียดจริง แต่เป็นรูปแบบที่จินตนาการขึ้นมาเอง บางตัวออกแบบให้มันเข้ากับยุคสมัย อย่างเช่น มีการใส่เหล็กดัดฟัน บางตัวเป็นคู่รัก มีการแสดงท่าทางความรักในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ผู้พบเห็นรู้สึกสนุกสนาน นอกจากตุ๊กตาคู่รัก ผู้หญิง ผู้ชาย ตุ๊กตาตัวเดียว และตุ๊กตาครอบครัว ส่วนเครื่องแต่งกาย ใช้ผ้าพื้นเมืองของชาวเขาจริง แต่บางตัวใช้งานเพ้นท์เข้ามาช่วย เพื่อให้ชิ้นงานมีความหลากหลาย ซึ่งผลงานการเพ้นท์ เป็นฝีมือของตนเองทั้งหมด ทุกอย่างฝึกฝนขึ้นมาจากความชอบล้วน ไม่ได้ไปเรียนหรือ ศึกษามาจากสถาบันการศึกษาแต่อย่างใด อาศัยใจรัก และฝึกฝนบ่อยๆ ก็สามารถทำออกมาได้เอง”
       


กบคู่รัก เรียกรอยยิ้มได้เสมอ
       ในส่วนของความแข็งแรงทนทานนั้น ได้ออกแบบเป็นพิเศษ ด้วยการใส่โครงเหล็กข้างใน เพื่อให้ตุ๊กตาแข็งแรง ป้องกันการแตกหัก และยังได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เพื่อการันตีถึงความแข็งแรงทนทานด้วย โดยกลุ่มลูกค้า เป็นนักท่องเที่ยว ซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก และใช้ตกแต่งบ้านและสวน ลูกค้ามีทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่จะอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป วัยทำงาน เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และชื่นชอบการตกแต่งบ้าน

หลากหลายรูปแบบตามจินตนาการ
       ส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย วางขายในตลาดอนุสาร (ศูนย์การค้าเชียงใหม่ไนท์บาซาร์) โดยในช่วงหลังผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ยอดขายหายไปกว่า 70% ทำให้ต้องหาตลาดใหม่ ๆ เช่น การมาร่วมออกงานแสดงสินค้าในกรุงเทพฯ โดยได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานราชการให้การช่วยเหลือ มาร่วมออกงานแสดงสินค้า ที่จัดในกรุงเทพ ฯ ทำให้ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น และได้ออร์เดอร์ สั่งซื้อจากพ่อคนกลาง มารับไปจำหน่าย
       
       สำหรับราคา เริ่มต้นที่ 150 บาท กบหนึ่งตัว และถ้าสองตัวขึ้นไปราคาชิ้นละ 250 บาท ตั้งราคาโดยดูจากค่าแรงเป็นหลัก เพราะงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลา และใช้ฝีมือในการทำ ส่วนตัววัตถุดิบเนื่องจากมีอยู่ในท้องถิ่น ส่วนผงไม้ขี้เลื่อยจะรับมาจากโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ ส่วนรากไม้เป็นเศษไม้มะม่วงที่เหลือทิ้ง จากการนำไม้มาทำแจกัน

กบเหมือนของจริงก็มีด้วย
       "ข้อดีของการทำตุ๊กตาผงไม้ขี้เลื่อย นอกจากไม่ต้องลงทุนสูง และยังขายได้ง่าย ราคาไม่แพง และปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่ง โดยทำมานานกว่า 2 ปี รายได้ดีกว่าการทำไม้มะม่วง เพราะขายได้เยอะกว่า และกำไรดีกว่า และนอกจากตุ๊กตาผงไม้ขี้เลื่อย มีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทำจากไม้ เช่น งานแกะสลักพระพุทธรูป และรับสั่งทำผลิตภัณฑ์จากไม้ทุกชนิด ฯลฯ”
       
       โทร. 08-7172-2593
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000088330

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำเองไม่ยาก "เจลล้างมือ" สู้หวัด 2009 สูตรพื้นฐานจาก วว.

ทำเองไม่ยาก "เจลล้างมือ" สู้หวัด 2009 สูตรพื้นฐานจาก วว.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์30 กรกฎาคม 2552 00:26 น.

นายอรรคชัย ตันตราวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. เป็นวิทยากรสาธิตการทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือฆ่าเชื้อโรค

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมทำเจลล้างมือเป็นจำนวนมาก

ส่วนผสมที่ใช้ในการทำเจลล้างมือ

เอทิล แอลกอฮอล์ 95%

โพรไพลีน ไกลคอล (ซ้าย) และ ไตรเอทาโนลามีน (ขวา)

คาร์โบพอล 940

เจอร์มาเบน สารป้องกันการเกิดเชื้อรา

น้ำหอมและสีผสมอาหารสำหรับแต่งสีและกลิ่นให้เจลล้างมือ

นักวิชาการ วว. ขณะกำลังสาธิตการทำเจลล้างมือแบบไม่ใช้น้ำ

ส่วนผสมของเจลล้างมือหลังเติมคาร์โบพอล 940 ก่อน (ซ้าย) และหลัง (ขวา) พักทิ้งไว้ 1 คืน

เมื่อเสร็จขั้นตอนจะได้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือพร้อมใช้งานทันที

เจลแอลกอฮอล์ล้างมือบรรจุหลอดขนาดเล็ก พกพาสะดวก ใช้ล้างมือให้สะอาดปราศจากเชื้อโรคได้ทุกที่ทุกเวลา

วว. เปิดคอร์สสอนทำเจลล้างมือสูตรมาตรฐานฐาน ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับทุกครอบครัวทำไว้ใช้เอง หรือแจกจ่ายคนรอบข้าง หรืออาจจำหน่ายสร้างรายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่จำเป็นต้องรักษาสุขอนามัยป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดอบรม "สาธิตการทำเจลล้างมือไม่ใช้น้ำ" ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สนใจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ระหว่างวันที่ 29-31 ก.ค. 52 ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การอบรม เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ วว. บางเขน ซึ่งมีผู้สนใจลงเบียนเข้าร่วมอบรมเป็นจำนวนมาก นายอรรคชัย ตันตราวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ รับหน้าที่เป็นวิทยากรสาธิตการทำเจลล้างมือสูตรมาตรฐานทั่วไป ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ 70% มีประสิทธิภาพกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี และช่วยให้มืออ่อนนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง ส่วนประกอบสำหรับเจลแอลกอฮอล์ 500 มิลลิลิตร มีดังนี้ 1. คาร์โบพอล 940 (Carbopol 940) 1.5 กรัม 2. เอทิล แอลกอฮอล์ 95% (Ethyl alcohol 95%) 370 มิลลิลิตร 3. ไตรเอทาโนลามีน (Triethanolamine) 1.5 กรัม 4. น้ำอาร์โอ (Reverse osmosis: RO) หรือน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปที่ระบุว่าผ่านการ Reverse osmosis 128 มิลลิลิตร 5. เจอร์มาเบน (Germaben) 5 มิลลิลิตร 6. โพรไพลีน ไกลคอล (Propylene glycol) 5 มิลลิลิตร 7. สีผสมอาหาร, น้ำหอม หรือน้ำมันหอมระเหย วิธีการเตรียม 1. ตวงเอทิล แอลกอฮอล์ 95% ผสมกับน้ำอาร์โอ (ทำในภาชนะแก้ว, แสตนเลส หรือกระเบื้องเคลือบ) 2. เติมโพรไพลีน ไกลคอล (สารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว) และเจอร์มาเบน (สารป้องกันการเกิดเชื้อรา) ตามลงไป แล้วคนให้เข้ากัน 3. ค่อยๆ โปรยคาร์โบพอล 940 (สารประกอบให้เกิดเจล) ลงไป และกวนให้กระจายตัวในส่วนผสม (อาจใช้แท่งแก้วหรือเครื่องกวนขนม) จากนั้นพักทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้คาร์โบพอลเกิดการพองตัว 4. นำส่วนผสมที่พักทิ้งไว้ 1 คืน มากวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน 5. เติมสีและกลิ่นตามความพึงพอใจอย่างละประมาณไม่เกิน 5 มิลลิลิตร 6. ใส่ไตรเอทาโนลามีน (สารประกอบให้เกิดเจล) ลงไปและกวนให้เข้ากัน จะได้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที หรือบรรจุในภาชนะปิดสนิทเพื่อป้องกันการระเหยของแอลกอฮอล์ (เช่น หลอดพลาสติก) สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานกว่า 2 ปี ข้อควรระวัง! 1. ห้ามใช้ "เมทิล แอลกอฮอล์" (Methyl alcohol) โดยเด็ดขาด เพราะอาจซึมเข้าสู่ผิวหนังและทำให้ตาบอดหรือมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่สามารถใช้ ไอโซโพรพิล แอลกอฮอล์ (Isopropyl alcohol) แทนได้ แต่จะมีกลิ่นเหม็นฉุนมากกว่า 2. แอลกอฮอล์เป็นสารติดไฟง่าย ควรเก็บไว้ให้ห่างจากเปลวไฟและในที่ที่มีอุณหภูมิสูง 3. ขั้นตอนการเตรียมควรทำในภาชนะแก้ว, แสตนเลส หรือกระเบื้องเคลือบ แต่ห้ามใช้ภาชนะพลาสติก เพราะอาจทำสีหรือสารเคมีอันตรายจากพลาสติกหลุดออกมาปะปนรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ สารเคมีที่ใช้เป็นส่วนผสมในเจลล้างมือสามารถซื้อได้ตามร้านขายเคมีภัณฑ์ทั่วไป โดยเลือกใช้สารเคมีเกรดสำหรับเครื่องสำอาง ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียม สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์ในครัวเรือนได้ หรือหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่น ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ รู้วิธีการทำเจลล้างมือที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากแบบนี้แล้ว ถ้าใครมีเวลาว่างก็สามารถทำไว้ใช้เองในครัวเรือนได้ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ ห่างไกลไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือจะทำแจกจ่ายคนรอบข้างด้วยก็ได้ ยิ่งช่วยสร้างสุขอนามัยที่ดีในสังคม (ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. โทรศัพท์ 0-2577-9000, โทรสาร 0-2577-9009 หรือ E-mail: tistr@tistr.or.th)









--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net/
http://www.familynetwork.or.th/
http://www.tzuchithailand.org/
http://www.presscouncil.or.th/
http://ilaw.or.th/
http://thainetizen.org/
http://www.ictforall.org/
http://icann-ncuc.ning.com/
http://dbd-52.hi5.com/
http://www.webmaster.or.th/
http://www.thailandshowtime.com/2009

เปลเชือกถัก ย้อนยุคสองมือแม่ กลับมาสร้างรายได้อีกครั้ง

เปลเชือกถัก ย้อนยุคสองมือแม่ กลับมาสร้างรายได้อีกครั้ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 กรกฎาคม 2552 09:59 น.
เปลนอนเด็กทำจากเชือกถัก สินค้าภูมิปัญญา
       ถักเชือกเป็นงานฝีมือที่อยู่คู่กับผู้หญิงไทยมานาน ในอดีตเปลนอนสำหรับเด็ก ทำขึ้นมาจากฝีมือการถักเชือกของ คุณแม่ทั้งหลาย เตรียมถักเปลกันตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ไม่ต้องไปหาซื้อจากที่ไหน และด้วยยุคสมัย ที่เปลี่ยนคุณแม่ยุคใหม่ ต้องทำงานนอกบ้านไม่มีเวลา ทำให้เปลเชือกถักที่เคยใช้ในอดีตไม่มีให้เห็นกันในปัจจุบัน
       

       และเมื่อมีการนำกลับมาทำใหม่อีกครั้ง จนได้รับความสนใจซื้อหากันไปใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะด้วยคุณสมบัติที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ช่วยให้เด็กได้นอนหลับอย่างสบายแล้ว ยังมีความสวยงามอีกด้วย จึงเกิดเป็นอีกหนึ่งอาชีพของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น “เปลชุมแสง” ของ “สมศรี ไม้ทองดี” และ “สมหวัง ไม้ทองดี"
       


นางสมศรี ไม้ทองดี เจ้าของผลงาน
       นางสมศรี เล่าว่า เริ่มทำเปลเชือกถักมาตั้งแต่ปี 2546 จุดเริ่มต้นมาจากเราทำเปลใช้เองภายในครอบครัวกันมานานแล้ว แต่เมื่อมีคนมาพบเปลของเรา ก็เกิดความชื่นชอบ เพราะเป็นเปลที่เขาเคยใช้ในอดีต และปัจจุบันหาซื้อได้ยากมาก จึงได้มาว่าจ้างให้ตนเองทำให้ และครอบครัวของเราก็ทำขายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
       เนื่องจากเป็นงานฝีมือ การทำแต่ละชิ้นต้องใช้เวลานาน เมื่อมียอดการสั่งซื้อเข้ามามาก การทำงานกันภายในครอบครัว ไม่สามารถทำได้ทัน จึงได้ไปว่าจ้างให้กับกลุ่มแม่บ้านภายในชุมชนตำบลชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ และ ก่อตั้งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่นเปลชุมแสง สร้างอาชีพเสริมให้กับแม่บ้านภายในชุมชนหลายสิบครอบครัว โดยแต่ละครอบครัวมีรายได้ เดือนละ2,000 บาท ถึง 3,000 บาท แล้วแต่ยอดการสั่งซื้อ

หิ้งพระ หรือ ที่สำหรับวางของ
       สำหรับผลิตภัณฑ์เปลชุมแสง ไม่ได้มีเพียงแค่เปลนอนสำหรับเด็ก แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใช้เทคนิคการถักเชือก เช่น เปลญวน ชิงช้า ฉากกั้นห้อง ม้านั่ง หิ้งพระ โมเดลเปลย่อส่วนที่เหมือนของจริง เพื่อเป็นของที่ระลึก นำไปมอบให้กันในวันสำคัญ หรือ ซื้อไปตั้งโชว์รำลึกถึงอดีต
       
       โดยสินค้าทุกชิ้นเน้นเรื่องของความคงทนและความสวยงาม จึงใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต และเกือบ 100% เป็นการทำมือในทุกขั้นตอนการผลิต มีเครื่องมือมาช่วยเพียงเล็กๆ น้อย ๆ และเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี เช่น ไม้ที่ใช้มาประกอบ จะใช้ไม้สักกับงานทุกชิ้น และ เชือกที่นำมาใช้ถักเป็นเชือกเป็นเชือกคูล่อน ซึ่งทำจากเส้นใยฝ้ายผสมเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ต่างจากในอดีตที่จะใช้เส้นใยฝ้าย 100% เพราะไม่มีเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งการเลือกใช้เส้นใยผสมโพลีเอสเตอร์ มีข้อดี คือ ดูแลรักษาง่าย และเชือกมีความเหนียว ช่วยในเรื่องของความคงทนแข็งแรง ทำให้ใช้งานได้นานขึ้น

ฉากกั้นห้อง ขอบทำจากไม้สัก
       สำหรับราคาผลิตภัณฑ์ของเปลชุมแสง เริ่มต้นที่ 900 บาท สำหรับโมเดลงานชิ้นเล็กๆ ส่วนงานชิ้นใหญ่ เริ่มต้นที่ 1,500 บาท ไปจนถึง 14,000 บาท และเปลเด็ก ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 บาทไปจนถึง 7,000 บาท ราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นงานฝีมือ ค่าแรงจะแพง เพราะต้องใช้เวลาในการทำ
       
       ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวมีการปรับลงมาเล็กน้อย ในช่วงนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เริ่มทำตลาดยากขึ้น ลูกค้าลดน้อยลง ทำให้จำเป็นต้องปรับราคาลงมาเพื่อจูงใจลูกค้า โดยเริ่มปรับราคาลงมาตั้งแต่ปี 2551 เพราะยอดการสั่งซื้อที่หายไปกว่าครึ่ง ซึ่งจากเดิมในปี 2548 ถึงปี 2549 มียอดการสั่งซื้อเดือนละ 100,000 กว่าบาท ปัจจุบันมีการสั่งซื้อเข้ามาเฉลียเพียงเดือนละ 60,000 บาทถึง 70,000 บาท
       

       ช่องทางการจัดจำหน่าย เริ่มจากการออกงานแสดงสินค้า เพราะเราเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานราชการ ให้ได้ร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้า ทำให้เป็นที่รู้จักของลูกค้ามีการสั่งสินค้าเข้ามา บางรายก็รับไปจำหน่าย และลูกค้าบางส่วนมาจากการบอกกันแบบปากต่อปาก ซึ่งหน้าร้านนั้นอาศัยบ้านเป็นที่โชว์สินค้า เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

เปลนอน และเก้าอี้ รูปแบบโมเดลเป็นของที่ระลึก
       “ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจมาทำงานถักเปลขาย เพราะครอบครัวทำใช้กันเองมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายาย และได้รับการถ่ายทอดการทำเปลถักมาทุกรุ่น จนถึงรุ่นปัจจุบัน ก็ยังคงทำใช้กันอยู่ ลวดลายเปลถักของเรามีการปรับเปลี่ยนไปบ้างจากในอดีต เพื่อให้เกิดความสวยงาม แต่ก็ยังคงลวดลายไทย เพราะเราต้องการคงความเป็นสินค้าภูมิปัญญาไทย และปัจจุบันสินค้าของเราไม่ได้มีลูกค้าเฉพาะคนไทย ชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจซื้อไปใช้เช่นกัน รูปแบบที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ จะเป็นชิงช้า และเปลญวน ซึ่งนอกจากชาวต่างชาติ มีกลุ่มลูกค้ารีสอร์ต และโรงแรม ซื้อไปตกแต่ง และให้บริการลูกค้า โดยเฉพาะรีสอร์ตที่อยู่ติดชายทะเล”
       

       ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์เชือกถัก ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลชุมแสง ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบและคุณภาพที่ดี เพราะเกิดจากความใส่ใจในการทำงานทุกชิ้น และรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไม่มีคู่แข่งในตลาด และประกอบกับรูปแบบไปตรงกับเทรนด์การแต่งบ้านในยุคปัจจุบัน
       
       โทร. 08-1039-1022
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000086283

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

ผู้ติดตาม

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/