วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประณามเทสโก บังคับกดขี่พนักงานในหลายประเทศ

ประณามเทสโก บังคับกดขี่พนักงานในหลายประเทศ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2552 03:06 น.
       สหภาพการค้าแห่งหนึ่งออกมาประณามเทสโก ต่อการปฏิบัติกับพนักงานในตลาดต่างชาติบางแห่งอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนหน้าการประชุมผู้ถือใหญ่ระหว่างบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอังกฤษแห่งนี้กับสหภาพแรงงานภายใน
       
       สหภาพยูเอ็นไอ เทสโก โกลบอล ยูเนียน อัลลิแอนซ์ เมื่อวันอังคาร(30) เผยแพร่รายงานตำหนิการปฏิบัติต่อแรงงานของเทสโกในไทย เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ตามหลังมีคำร้องเรียนมาจากพนักงานท้องถิ่น
       
       ในรายงานดังกล่าวระบุว่า เทสโก บังคับพนักงานในไทยและเกาหลีใต้ให้ทำงานเกินเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน และปฏิเสธพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการตั้งองค์กรผู้แทนแรงงานในสหรัฐฯ
       
       อย่างไรก็ตามทาง เทสโก ซึ่งมีพนักงาน 470,000 คนใน 14 ประเทศทั่วโลก บอกว่ารายงานดังกล่าวไม่เป็นความจริง
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074162


Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

‘กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


'กาแฟชัก' เทไปเทมา 'ท่าทำเงิน'

วันเสาร์ ที่ 27 มิถุนายน 2552 เวลา 0:00 น

Bookmark and Share

นอกจาก "ชาชัก" ที่ยุคนี้มีขายทั่วไป ไม่ใช่มีแค่เฉพาะถิ่น ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีแล้ว ก็มีร้านที่เปิดขาย "กาแฟชัก" ที่มีรสชาติน่าสนใจ และก็น่าจะเป็น "ช่องทางทำกิน" ที่น่าสนใจด้วย...
   
อุดม พงศ์กระพันธุ์ เป็นเจ้าของร้าน "อุดมกาแฟชัก" ซึ่งวันนี้ได้ใช้ร้าน "ติ๊กคาเฟ่" ซึ่งเป็นร้านของน้องสาว อยู่ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์  จ.นครปฐม เปิดสูตร และวิธีทำ "กาแฟชัก" กับทีม "ช่องทางทำกิน" โดยอุดมบอกว่า กาแฟชักเป็นอาชีพประจำครอบครัวมานานแล้ว โดยเริ่มแรกมีร้านขายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ภายหลังจึงมาเปิดร้านที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์  จ.นครปฐม และก็ออกร้านไปกับกระทรวงพาณิชย์ตามงานต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้
   
อุดมเล่าถึงกรรมวิธีอาชีพนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับร้านขายกาแฟ หลัก ๆ ก็คือหม้อชงกาแฟ  ส่วนวัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี เมล็ดกาแฟสด, เนย และน้ำตาล  จากนั้นทำการคั่วเมล็ดกาแฟ เสร็จแล้วนำเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วมาบดละเอียดพอประมาณ ก่อนนำไปชง  
   
สำหรับส่วนผสมและสัดส่วนในการคั่ว ก็คือ ใช้เมล็ดกาแฟสด (โรบัสต้า) 10 กก., เนย 500 กรัม, น้ำตาลทราย 2 กก., เกลือ 300 กรัม รวมเป็นน้ำหนักรวม 12.8 กก. โดยที่กาแฟสดเมื่อคั่วแล้วจะเหลือน้ำหนักประมาณ 7 กก.  และเก็บไว้ใช้งานได้ไม่เกิน 1 เดือน
   
การชงกาแฟ  ส่วนผสมก็มีผงกาแฟบด  น้ำร้อน นมข้นหวาน นมสด สัดส่วนการชงกาแฟคือ ผงกาแฟบด 6 ช้อน 300 กรัม, นมข้น 1 กระป๋อง 390 กรัม, นมสด 1/2 กระป๋อง 180 กรัม และน้ำร้อน 800 ซีซี
   
วิธีการ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้  นำผงกาแฟใส่ในถุงกาแฟ  จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงกาแฟเพื่อให้น้ำกาแฟออกมา ซึ่งน้ำกาแฟที่ได้นั้นจะมีสีดำ และรสชาติดี (หากใช้น้ำไม่ร้อนน้ำกาแฟจะไม่ออกสี และไม่มีรสชาติ)  ส่วนนมข้นหวานใส่ลงไปบนหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำกาแฟที่ชงเสร็จแล้ว เทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า ส่วนนมสดจะใส่เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มความมันตอนที่จะขายให้ลูกค้า  
   
เคล็ดลับในการชง การชงกาแฟโบราณนั้นน้ำต้องเดือดจัดถึง 100 องศา จะทำให้กาแฟหอมและข้น เมื่อผสมกับนมจะรสชาติพอดี (ไม่ควรใส่น้ำตาลในกาแฟที่ต้องใส่นมข้นอยู่แล้ว  จะทำให้รสชาติไม่หวานกลมกล่อม  และที่สำคัญไม่ควรเก็บกาแฟที่ปรุงแล้วเกิน 1 วัน และควรเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม)
   
การชงและชักกาแฟชักนั้น ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่กาแฟ 1 กระป๋อง เป็นกระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ทำการเทไปเทมาหรือ "ชัก" ระหว่างกระป๋อง ชักกาแฟไปมาประมาณ 5-6 ครั้ง จะได้รสชาติที่นุ่มและกลมกล่อมพอดี ซึ่งวิธีการ ลีลาการชัก ลูกเล่นต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ชัก ซึ่งต้องฝึกฝน และใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ
   
ทั้งนี้ กาแฟ 1 ลิตร จะขายได้ 12 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์) ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยมีต้นทุนต่อลิตรประมาณ 55-60 บาท (ไม่รวมต้นทุนแก้ว น้ำแข็ง และนมสด) ซึ่งวิธีการขายคือใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด กาแฟ และเทนมสดราดอีกครั้ง
   
ในส่วนของ "ชาชัก" นั้น อุดมก็ให้ข้อมูลว่า ใช้ชาผงอัสสัม, น้ำร้อน และนมข้น สัดส่วนคือ ชาผง 4 ช้อนโต๊ะ, น้ำร้อน 800 ซีซี และนมข้น 1.5 กระป๋อง วิธีการชงชาคือ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้ นำผงชาใส่ในถุงชา (เหมือนกับถุงกาแฟ) จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงชาเพื่อให้น้ำชาออกมา ส่วนนมข้นหวานใส่ลงในหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำชาเทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า
   
วิธีชักชา ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่ชา 1 กระป๋อง  กระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ชักหรือเทไปเทมา ประมาณ 5-6  ครั้ง  จะได้ชารสชาตินุ่มและกลมกล่อมพอดี เช่นเดียวกับการชักกาแฟ และก็เช่นเดียวกับกาแฟชัก  คือ ชา 1  ลิตรจะขายได้ราว 12 แก้ว ราคาแก้วละ 15 บาท โดยที่ต้นทุนชาต่อลิตรคือ 50-60 บาท ส่วนวิธีการขาย คือ ใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด ชา และราดนมสดอีกครั้ง
   
สนใจ "กาแฟชัก" หรือ "ชาชัก" ของอุดม ก็ไปชิมได้ที่ร้านติ๊กคาเฟ่ ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม โทร. 08-7317-8189.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=498&contentID=5330


What can you do with the new Windows Live? Find out

หุ่นไม้ไผ่ดีไซน์เฉียบ ใส่วัฒนธรรมแฝงอารมณ์ขัน



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


หุ่นไม้ไผ่ดีไซน์เฉียบ ใส่วัฒนธรรมแฝงอารมณ์ขัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มิถุนายน 2552 09:23 น.
หุ่นไม้ไผ่ ทำเป็นโคมไฟ
       เศษไม้ไผ่เหลือทิ้ง ถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นเจ้าหุ่นไม้ไผ่อารมณ์ดี เรียกรอยยิ้มจากผู้พบเห็นได้เสมอ แถมยังสอดแทรกวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างลงตัว โดยผลงานดังกล่าวเป็นฝีมือประดิษฐ์ของ "วิษณุศักดิ์ บัวลา" หนุ่มวัย 36 ปี จาก จ.อำนาจเจริญ ภายใต้ความช่วยเหลือของนักออกแบบมืออาชีพ
       


วิษณุศักดิ์ บัวลา
       เจ้าของผลงาน เล่าว่า ยึดอาชีพทำผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 มีสินค้าหลากหลายเกือบ 40 ชนิด ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ อย่างพวงกุญแจ โคมไฟ ไปจนถึงชิ้นใหญ่ เช่น โต๊ะกินข้าว ชุดรับแขก เป็นต้น โดยการออกแบบส่วนใหญ่จะคิดขึ้นเอง จากประสบการณ์และใช้คำแนะนำของลูกค้ามาปรับปรุง
       
       ทั้งนี้ ในการคิดสินค้าใหม่ๆ พยายามสอบถามและหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ อย่างหุ่นไม้ไผ่ เกิดจากที่ภาครัฐส่งนักวิชาการมาแนะนำการออกแบบ เพื่อยกระดับสินค้าให้ตอบความต้องการตลาดได้ดีขึ้น จึงมีโอกาสได้พบกับ "อ.เดชา อนันต์อิทธิ" อาจารย์พิเศษคณะมัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร ซึ่งให้ความช่วยเหลือในการออกแบบ และเป็นที่ปรึกษาในการสร้างสรรค์ผลงานหุ่นไม้ไผ่
       
       "งานไม้ไผ่มีการแข่งขันกันสูง จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าไปเรื่อยๆ ซึ่ง อ.เดชา ช่วยออกแบบ โดยบอกแนวคิดว่า หุ่นไม้ไผ่ควรจะรักษาเอกลักษณ์รูปทรงของไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายของเล่นเด็ก เห็นแล้วอารมณ์ดี รู้สึกคลายเครียด"

ดีไซน์ในท่าทางการละเล่นแบบเด็กไทยโบราณ
       เนื่องจากมีเซียนออกแบบเป็นกุนซือ หุ่นไม้ไผ่จึงตอบโจทย์ได้ทั้งเหตุผลและอารมณ์ โดยด้านอารมณ์เจ้าหุ่นไม้ไผ่จะเป็นตัวแทนสะท้อนวิถีชาวบ้าน ผ่านการละเล่นของเด็กไทยโบราณ หรือเป็นสัตว์คู่ท้องถิ่น อย่างควาย เป็นต้น ส่วนด้านเหตุผล ใช้ประโยชน์ได้ ออกแบบเป็นโคมไฟ เชิงเทียน กระปุกออมสิน และที่เสียบปากกา เป็นต้น มีลูกเล่นที่ชิ้นส่วนต่างๆ สามารถถอดประกอบได้ เพื่อสะดวกต่อการใช้งานจริง เช่น สามารถถอดเปลี่ยนหลอดไฟ เป็นต้น
       
       สำหรับราคาขาย เพียงตัวละ 150 – 280 บาท เริ่มออกตลาดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ผลตอบรับอย่างสูงจากลูกค้าที่รักการตกแต่งบ้าน เจ้าของธุรกิจรีสอร์ต และโรงแรมสั่งไปตกแต่งสถานที่

       อย่างไรก็ตาม วิษณุศักดิ์ ยอมรับว่า ไม่นานต้องถูกทำลักษณะใกล้เคียงกันออกมาแข่งขัน ซึ่งในมุมมองของเขา กลับเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ จะมาแข่งขันกันพัฒนาสินค้า ซึ่งส่วนตัวเขาเอง ก็จะไม่หยุดพัฒนาเช่นกัน โดยปรับปรุงหุ่นไม้ไผ่ให้มีรูปแบบหลากหลายยิ่งขึ้นไปอีก

       ทั้งนี้ เส้นทางอาชีพของหนุ่มรายนี้ น่าสนใจเช่นกัน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนสู้ชีวิต ที่ไม่รอพึ่งโชคชะตา แต่พยายามมุ่งพัฒนาตัวเอง จนทุกวันนี้ มีอาชีพมั่นคง
       
       วิษณุศักดิ์ เล่าว่า ครอบครัวฐานะยากจน ทำให้ไม่มีโอกาสศึกษาในระดับสูงนัก ช่วงวัยรุ่นต้องเดินทางไปขายแรงงานที่ประเทศไต้หวัน ก่อนจะกลับมาอยู่บ้านเกิดที่ จ.อำนาจเจริญ

สามารถถอดประกอบได้
       

ถอดเพื่อเปลี่ยนหลอดไฟ
       "ตอนกลับมาอยู่บ้าน ผมก็เห็นตอไม้ไผ่ที่ถูกตัดลำไปแล้ว เหลือทิ้งเต็มไปหมด ก็ไปขอซื้อมาแค่ 60 บาท ส่วนอุปกรณ์ช่างไม้ก็ยืมเอาจากชาวบ้าน ลองมาฝึกทำเฟอร์นิเจอร์ใช้เอง จากนั้น ก็ลองทำขายในชุมชน ก็มีคนซื้อ ทำให้ผมมีทุนพัฒนาสินค้ามาเรื่อยๆ"
       
       จุดเด่นงานไม้ไผ่ของหนุ่มรายนี้ อยู่ที่จะเลือกใช้วัตถุดิบเฉพาะไม้ไผ่สีสุก ซึ่งมีความแน่นเหนียว โดยจะรับซื้อจากชาวบ้านในท้องถิ่น ราคาลำละ 60-80 บาท จากนั้น มีเคล็ดลับสำคัญต้องนำไม้ไผ่ไปพักเก็บไว้ 4-5 เดือน แล้วอบด้วยความร้อน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหามอดกัดกินไม้ไผ่ ซึ่งเทคนิคดังกล่าว ใช้เวลาลองผิดลองถูกเรียนรู้ด้วยตัวเองนานเป็นปีทีเดียว

ใช้ประโยชน์เป็นเชิงเทียน
       จากทำตัวคนเดียว กับทุนเริ่มต้นแค่ 60 บาท วิษณุศักดิ์ค่อยๆ ขยายกิจการ จนในปี พ.ศ.2543 สามารถรวบรวมสมาชิกตั้งเป็นกลุ่มอาชีพเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ และในอีก 3 ปีต่อมา ได้รับคัดสรรเป็นหนึ่งในสินค้าโอทอปของ จ.อำนาจเจริญ รวมถึงสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง ในชื่อ "King BamBoo วิษณุไผ่หยก"
       
       ปัจจุบัน กลุ่มของเขา ถือเป็นผู้ผลิตสินค้าไม้ไผ่รายเดียวของภาคอีสาน รายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายเข้ากลุ่มประมาณ 35,000-100,000 บาทต่อเดือน ช่วยสร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มที่ปัจจุบันมีราว 20 คน ประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อคนต่อเดือน

       วิษณุศักดิ์ ฝากถึงคนที่กำลังท้อถอยต่อสภาพเศรษฐกิจ ให้ดูเส้นทางอาชีพของเขาเป็นตัวอย่าง แทบจะเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ด้วยความมุ่งมั่น และพยายาม ปัจจุบันสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้
       
       "ถ้าคิดอยากจะทำอะไรให้ลงมือทำเลย ดูอย่างตัวผมเอง เริ่มต้นจากเงินแค่ 60 บาท ค่อยๆ พัฒนาฝีมือค่อยเป็นค่อยไป บางคนบอกว่า ไม่มีทุนก็เลยทำไม่ได้ แต่ผมอยากให้คิดว่า ถ้าไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย มันก็จะไม่มีผลงานอะไรเกิดขึ้น หน่วยงานที่เขาต้องการให้ทุน ก็ไม่รู้จะมาให้ได้อย่างไร ดังนั้น ถ้าเริ่มลงมือเสียก่อน และมุ่งมั่นจริงๆ โอกาสต่างๆ จะเข้ามาเอง"
       
       ***********************
       
       โทร.08-7255-9041
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000068505


Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

บทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 26 มิ.ย.- 3 ก.ค. 52



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com



บทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 26 มิ.ย.- 3 ก.ค. 52
 



ราคาทองคำในช่วงต้นของสัปดาห์ปรับลดลงจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังอังกฤษกำลังจะเปลี่ยนแปลงคำนิยามของLIBOR เพื่อให้มีจำนวนสถาบันมากขึ้นในเข้าร่วมในกระบวนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยรายวันได้




ตลาดทองคำ

     ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนในการลงทุนในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง การที่ World Bank ได้ออกมาปรับแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมาอยู่ที่ -2.9 จากที่เคยคาดการก่อนหน้านี้ไว้ที่ -1.7 ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างหนักในวันก่อน รวมทั้งตัวเลขยอดขายบ้านมือสองที่เพิ่มขึ้น + ยอดค้าปลีกลดลงในอัตราชะลอลง ทั้งสหรัฐและยุโรปบอกว่าไม่มีความจำเป็นในการใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป + Moody's คงอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ US ที่ Aaa ยิ่งเป็นการกระตุ้นความต้องการเสี่ยงเพิ่มขึ้น และทำให้นักลงทุนหันมาหาดอลลาร์สหรัฐในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย      นอกจากนี้ IMF ยังได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสสหรัฐในการขายทองคำแท่งจำนวน 403 ตัน เรียบร้อยแล้ว โดย IMF จะทยอยขายออกที่ละส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลกมากนัก เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง และกองทุน ETF ของ SPDR Gold Trust ก็ปรับลดปริมาณทองคำลง0.91 ตัน รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,131.24 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.34 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36.37 ล้านออนซ์ ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ราคาทองคำลดลง
     ราคาทองคำในช่วงกลางของสัปดาห์ดีดตัวขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของยุโรปดีขึ้นกว่าเดือนที่แล้ว แม้น้อยกว่าคาดเล็กน้อย แต่ในภาคบริการกลับแย่ลงกว่าเดือนก่อนหน้าและแย่กว่าคาดด้วย ส่วนตัวเลขยอดสินเชื่อบ้านของอังกฤษปรับเพิ่มสูงขึ้น 3.1 หมื่นล้านปอนด์ มากกว่าที่คาดไว้ที่ 2.9 หมื่นล้านปอนด์และมากกว่าเดือนที่แล้วที่อยู่ที่ 2.77 หมื่นล้านปอนด์ อีกทั้งราคาน้ำมันน้ำมันดิบล่วงหน้าเดือน ส.ค. ก็ Rebound กลับขึ้นมาปิดเพิ่มขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐและยูโรโซนออกมาเมื่อคืนนี้ กระตุ้นให้นักลงทุนเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
     ราคาทองคำในช่วงปลายของสัปดาห์ดีดตัวขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง รวมทั้งดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอีก กระตุ้นให้นักลงทุนเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น โดยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.8% สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะ -0.5% ส่วนยอดขายบ้านใหม่สหรัฐเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงที่ 2.4% มาที่ 4.77 ล้านหน่วย จาก 4.68 ล้านหน่วยในเดือนก่อนหน้า ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในครึ่งปีหลัง จากการลงทุนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น

     อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานที่ยังคงแนวโน้มที่จะขยับขึ้นเกิน 10% และภาวะสินเชื่อที่ยังตึงตัวจะเป็นตัวถ่วงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ ทางจีนยังออกมาประกาศเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองประเทศเพื่อหนุนค่าเงินหยวน และบอกต่อว่าการซื้อที่ดินของสหรัฐนั้นเป็นการลงทุนที่ดีกว่าเข้าซื้อพันธบัตร ซึ่งเป็นการเพิ่มปัจจัยบวกให้กับทองคำถึง 2 อย่าง
     โดยอย่างแรกคือการเพิ่มอุปทานให้กับทองคำจากการเข้าซื้อโดยตรง และการกดดันพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งเปรียบเสมือนการกดดันดอลลาร์สหรัฐไปในตัว การประกาศของจีนสองอย่างนี้ได้เพิ่มปัจจัยบวกให้กับทองคำเป็นอย่างมาก รวมทั้งราคาน้ำมันที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น หลังกลุ่มกบฏไนจีเรียได้ก่อเหตุวินาศกรรมต่อท่อส่งน้ำมันของบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ + นายรอยเมสัน นักวิเคราะห์ของบริษัทออยล์ มูฟเมนท์ส เผยว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทางทะเลของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ไม่รวมแองโกลาและเอกวาดอร์ จะร่วงลง 2.9 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วง 4 สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ก.ค.
     กลยุทธ์การลงทุน
     หากนักลงทุนต้องการเล่นระยะสั้นและรับความเสี่ยงได้สูงให้เล่น Long โดยคาดว่าการ Correction ได้สิ้นสุดลงแล้ว หากต้องการเล่นระยะสั้นและรับความเสี่ยงได้ต่ำให้เล่น Range trading ระหว่างแนวรับแนวต้านที่ $932-$942 หากต้องการเล่นระยะกลางและรับความเสี่ยงได้สูงให้ท่านหาจังหวะเล่น Long โดยคาดว่าทองคำจะปรับตัวขึ้นต่อไปจนถึง High เดิมล่าสุดที่ $990 โดยปรับฐานต่ออีกเพียงเล็กน้อย หากต้องการเล่นระยะกลางและรับความเสี่ยงได้ต่ำให้รอดูทิศทางตลาดอีกระยะหนึ่ง
     Outlook
     ราคาทองคำในสัปดาห์หน้าจะเจอกับความผันผวนที่น้อยลง เนื่องจากช่วงที่ราคาปรับฐานดูเหมือนจะสิ้นสุดลง แนวรับที่ $912 จะเป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญและคาดว่าราคาจะไม่สามารถยืนอยู่ต่ำกว่าระดับนี้ได้ ทว่าหากราคาปรับตัวต่ำกว่า $912 ได้แนวรับต่อไปของสัปดาห์หน้าจะอยู่ที่ระดับ $900 และ $880 ตามลำดับ ทองคำระยะสัปดาห์ดูเป็นตลาด sideways และราคาจะเคลื่อนตัวขึ้นลงระหว่างแนวรับแนวต้านที่ $912 และ $942 หากสามารถยืนเหนือ 942 ได้เป้าราคาต่อไปจะเป็นที่ระดับ 960 และจะมองว่าการปรับฐานได้สิ้นสุดลงและทองคำจะปรับตัวขึ้นต่อ ทว่าความเป็นไปได้ที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ดูไม่มากนัก
     ข้อมูลที่นำเสนอในรายงานดังกล่าว นี้เป็นเพียงความคิดเห็นซึ่งนำเสนอโดย บริษัท YLG Bullion International จำกัด โดยบริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบใดๆ จากความเสียหายที่เกิดจากการใช้รายงานหรือข้อความจากรายงานฉบับนี้
     หมายเหตุ ข้อมูลจากฝ่ายวิจัย บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจการลงทุนเกี่ยวกับทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส์ ติดต่อโทร 02-287-1155 หรือ www.ylgbullion.com 

     สอบถามรายละเอียดข่าวประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมที่ บริษัท วีม คอมมูนิเคชั่น จำกัด  0-2668-3500






แหล่ง : ผู้จัดการ (www.manager.co.th)
โดย : WebMaster
วันที่ : 27/6/2552
http://www.ksmecare.com/News_Popup.aspx?ID=4928
 
    

Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

เปิด "สูตรรบ" ในตลาดสินค้า "Commodity"



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


เปิด "สูตรรบ" ในตลาดสินค้า "Commodity"
 



คุณเคยสำรวจพฤติกรรมการซื้อสินค้าประเภทคอมโมดิตี้ (commodity) ของตัวเองกันบ้างหรือเปล่า




     เช่น เมื่อจะซื้อเกลือมาสักถุงคุณคิดถึงเกลืออะไร และคิดจะซื้อที่ไหน หรือจะเติมน้ำมันคิดถึงน้ำมันยี่ห้ออะไร หรือหากกระหายน้ำมองหาน้ำสักขวดคิดถึงน้ำดื่มยี่ห้ออะไร

     สินค้าคอมโมดิตี้ (commodity product) เป็นลักษณะของสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ที่ลูกค้ามองว่าไม่มีความแตกต่างของสินค้า เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคจากธรรมชาติอย่างผักผลไม้ทั่วๆ ไป พริกไทย น้ำตาล น้ำปลา เกลือ น้ำดื่ม น้ำมันรถยนต์ ปูน ฯลฯ ซึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องมืออัตโนมัติและระบบการสื่อสารที่ฉับไวทุกที่ทุกเวลา บวกกับวิถีชีวิตและสไตล์การใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีคนในรุ่นเจเนอเรชั่น X และ Y เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมหลักๆ 

     สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นตัวเร่งที่ทำให้สินค้าประเภทคอมโมดิตี้มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในทิศทางสร้างแบรนด์กันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของสินค้าทางด้านการเกษตรที่บ้านเรามีอยู่หลากหลายแต่ไม่ค่อยได้มีการนำมาสร้างแบรนด์กันมากนัก บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถจำนวนไม่น้อยถอดใจจากการเป็นลูกจ้างแล้วกลับเข้าไปอยู่ในภาคเกษตรและสร้างธุรกิจของตัวเองกันเพิ่มมากขึ้น 

     เพราะความน่าสนใจของสินค้าประเภทคอมโมดิตี้ คือ หากได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคสินค้าจะสามารถเพิ่มราคาได้หลายเท่าตัว ดังนั้นจากเดิมที่ตำราบอกว่า ยี่ห้อไม่มีผลมากนักกับสินค้าประเภทนี้ ต่อจากนี้คงไม่ใช่แล้วหากผู้ขายสินค้าต้องการจับตลาดและตามเทรนของคนกลุ่ม X และ Y

     ดร.พัลลภา ปีติสันต์ ประธานสาขาการจัดการธุรกิจ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับสินค้าคอมโมดิตี้ ว่า ถึงแม้ตลาดนี้ยังมีพื้นที่เปิดกว้างให้ได้เข้ามาจับจองแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และที่ผ่านๆ มามีผู้ประกอบการมากมายที่เจ็บตัวจากตลาดนี้มาแล้วมากต่อมาก อย่างที่เห็นในตลาดเกี่ยวกับน้ำสมุนไพรบรรจุขวดแปะชื่อยี่ห้อที่ทำขายกันแทบจะทุกชุมชนในยุคที่โครงการสินค้า OTOP รุ่งเรือง หรือกรณีศึกษาของลูกศิษย์คนหนึ่งทำผลไม้สดพร้อมทานบรรจุถุงสุญญากาศอย่างดีติดแบรนด์ของตัวเองลงไป แล้วนำไปวางขายยังอาคารสำนักงานก็ยังต้องพับเสื่อกลับบ้านเพราะไม่ได้รับความนิยม เพราะลูกค้ายังนิยมไปซื้อจากพ่อค้าแม่ค้าผลไม้รถเข็นที่ปอกเปลือกเฉาะขายกันสดๆ มากกว่า

     และจากการได้ออกไปทำวิจัยและสำรวจข้อมูลภาพสนาม พบองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ 3 ส่วน คือ 
     1.เรื่องของแบรนด์ 
     2.เรื่องของฟังก์ชั่นที่ลูกค้าจะนำสินค้านั้นๆ ไปใช้งาน
     3.คือเรื่องของอารมณ์ของลูกค้า 
     ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนจะต้องล้อและสอดคล้องไปด้วยกัน 

     จากการศึกษาพบว่า แบรนด์นั้นเป็นเสมือนการเติมชื่อเรียกให้กับสินค้านั้นๆ ทำให้สินค้านั้นมีชื่อขึ้นมาว่าคือใคร ส่งผลต่อความผูกพันต่อกันในระยะยาว เช่น ที่เราผูกพันกับเกลือยี่ห้อปรุงทิพย์ ทั้งๆ ที่เกลือแบรนด์อื่นที่คล้ายปรุงทิพย์ให้เลือกแบรนด์จะเป็นตัวช่วยตัวหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย 

     เรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้าก็เช่นกัน ผู้ประกอบการจะต้องอ่านใจลูกค้าให้ออกว่าลูกค้าต้องการอะไรจากสินค้าของเราเพื่อที่จะได้ทำสินค้าออกมาให้ถูกแบบ ถูกใจและถูกที่ เช่น กระเทียมปอกเปลือกพร้อมใช้งานในครัวได้ทันทีในซองสุญญากาศ หรือชุดต้มยำที่ประกอบไปด้วยเครื่องต้มยำพร้อมในซอง สำหรับพ่อบ้านแม่บ้านยุคใหม่ เป็นต้น

     เรื่องอารมณ์ของลูกค้า ผู้ประกอบการจะต้องอ่านคุณค่าที่ผู้บริโภคต้องการให้ออกและถูกต้องตามกลุ่มลูกค้า เช่น สินค้าประเภทน้ำตาลทราย ที่ขายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตาลทรายที่มีลักษณะขาวใส เพราะคนไทยให้คุณค่าในเรื่องของความสะอาดซึ่งสีขาวเป็นตัวแทนที่สื่อถึงความสะอาด แต่น้ำตาลสีธรรมชาติคือออกมีสีน้ำตาล จะเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นเพราะคนญี่ปุ่นให้คุณค่ากับเรื่องของความเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง เป็นต้น

     กรณีศึกษาในฉบับถัดไป ดร.พัลลภาจะนำกรณีศึกษาการพัฒนาสินค้าคอมโมดิตี้จากที่ได้ไปทำวิจัยภาคสนามและวิธีการเข้าสู่ตลาดนี้มาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการที่คิดจะลุยในตลาดนี้กันต่อไป





แหล่ง : ประชาชาติธุรกิจ (www.matichon.co.th/prachachart)
โดย : WebMaster
วันที่ : 26/6/2552
     http://www.ksmecare.com/News_Popup.aspx?ID=4924

check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อีเบย์ของสินค้า หัตถกรรม

 



คงจะเป็นการดีสำหรับผู้ประกอบอาชีพศิลปะหัตถกรรมและผู้ด้อยโอกาสทั่วโลกที่มีโอกาสในการแสดงฝีมืออวดผลงานไปยังชาวโลกผ่านเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นมาบริการสำหรับกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ ผ่านองค์กรที่ไม่ประสงค์มุ่งแสวงกำไรที่เปิดให้บริการเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

องค์กรที่เรียกว่า The Dreamaid Charity ได้ทำการเปิดเว็บไซต์ www.Dreamaid.com เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนยากจนที่มีข้อมูลว่ากว่า 3,000 ล้านคนทั่วโลก ที่มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 2.50 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณต่ำกว่า 85 บาท ให้มีโอกาสหาตลาดใหม่ๆจากที่เคยค้าขายกันอยู่ พร้อมกับเตรียมสตาฟฟ์ในแต่ละประเทศ รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต กล้องถ่ายรูปเพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ไปยังโลกภายนอกได้

การช่วยเหลือดังกล่าวจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสที่ดีขึ้นในการทำเงิน รวมทั้งไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายขายผ่านตัวแทนจำหน่าย เดิมซึ่งหากใช้ช่องทางนี้เมื่อสินค้าถูกปล่อยผ่านไปยังลูกค้ายังต่างประเทศ ราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้น 3 เท่า แต่คนขายก็ยังได้ราคาต่ำ ผู้ซื้อในราคาสูง บางครั้งต้นทุนการผลิตสินค้าคิดเป็นเพียงแค่ 7% ของราคาขายจริงเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

ที่ผ่านมา องค์กรนี้ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั่วโลก มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านเล็กๆ สถานที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อช่วยเหลือตามเป้าหมาย สรรหาสินค้าหัตถกรรม เช่น หมู่บ้านเล็กๆในแอฟริกา, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดีย, จีน และบราซิล เป็นต้น โดยทางผู้จัดทำมั่นใจว่าโครงการนี้ที่สร้างเครือข่ายออนไลน์ทั่วโลก จะเป็นประโยชน์กับผู้ด้อยโอกาสทั่วโลกกับตลาดนัดที่ผู้ซื้อกับผู้ขายจะมาพบกันโดยตรง

สำหรับประเทศไทยได้เดินทางไปยังหมู่บ้านชาวเขาในภาคเหนือ ล่องใต้มายังกระบี่ เพื่อพบกับศิลปินและกลุ่มผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองทั่วประเทศ และพบกับสินค้าที่น่าสนใจ อาทิ การ์ดอวยพรประดิษฐ์ ไดอารี่ และปฏิทินที่ทำขึ้นจากมูลช้าง และก็ได้การตอบรับความสนใจจากโครงการนี้

ทางเว็บไซต์จะคิดค่าบริการจากผู้ขายในเว็บไซต์เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาจำหน่ายเป็นการบริจาคไปยังการกุศล โดยผู้สนใจสามารถเข้าไปลงทะเบียนในเว็บไซต์เพื่อเป็นสมาชิกและสามารถอัพโหลดภาพและรายละเอียดของสินค้าที่ต้องการจำหน่าย ซึ่งเริ่มแรกหน่วยเงินที่จำหน่ายจะคิดเป็นสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษ

ผมคิดว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้มีฝีมือและด้อยโอกาสทางการตลาด เมื่อโลกออนไลน์เปิดช่องมาให้แบบนี้ คลิกไปดูรายละเอียด วิธีการขายผ่านออนไลน์ หมวดหมู่สินค้า ลองดูสักครั้งไม่เห็นเป็นไร.

หนุ่มดิจิตอล
cybernet@thairath.co.th

http://www.thairath.co.th/content/tech/14193

อนาคตบนเส้นด้าย

รายงานโดย :ทีมข่าวอุตสาหกรรม:
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เสียงคร่ำครวญจากธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบ

และ ถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการแพร่ระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ 2009 เอช1เอ็น1 ในบ้านเรา เวลานี้ไม่ได้มีเฉพาะเอสเอ็มอีของคนไทยเท่านั้นที่เดือดร้อน

หากแต่เอสเอ็มอีสัญชาติญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจอยู่ในไทยก็พลอยได้รับแรงสะเทือนไปด้วย จนต้องออกมาร้องผ่านสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ช่วยเป็นสื่อกลางประสานขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลไทย ออกหน้าคุยกับสถาบันการเงินในประเทศให้ช่วยปล่อยกู้ต่อลมหายใจทางธุรกิจ เพราะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีญี่ปุ่นก็ประสบชะตากรรมเดียวกับ ผู้ประกอบการไทย

นั่นคือความยากลำบากในการเข้าถึงเงินกู้ อันเนื่องมาจากความเข้มงวดของสถาบัน การเงิน

ยิ่งเศรษฐกิจย่ำแย่ สถาบันการเงินก็ยิ่งเขี้ยวในการปล่อยกู้

เป็นเรื่องน่าเห็นใจสำหรับธุรกิจรายเล็ก ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะของไทยหรือของต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่ออกมาร้องขอความช่วยเหลือเป็นนานสองนานแล้ว ความช่วยเหลือก็ยังไม่ตกถึงมือสักที ก็อนุมานได้ว่าความช่วยเหลือที่จะตกถึงมือเอสเอ็มอีญี่ปุ่น ก็คงจะแห้วรับประทานเช่นกัน

เอสเอ็มอีไทยถึงขนาดออกมาขีดเส้นตายตัวเองด้วยซ้ำไปว่า นับจากเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป ไม่เกิน 8 เดือน ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น กลุ่มเอสเอ็มอีคงพับฐานหมด

ที่ประคองตัวได้อยู่ทุกวันนี้ ผลสำรวจ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็ระบุว่า อาศัยอยู่ได้ด้วยเงินออมเป็นส่วนใหญ่

คิดจากธุรกิจที่ทำการสุ่มสำรวจทั้งหมด มีแค่ 20% ที่มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้

กระนั้นอาจสงสัยกันว่า ในเมื่อเห็นกับตาว่าเอสเอ็มอีไทยยังอาการร่อแร่ ถูกรัฐทิ้งขว้างไม่เหลียวแลถึงเพียงนี้ เหตุไฉนธุรกิจเอสเอ็มอีญี่ปุ่นถึงได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือในภาวะแบบนี้

ประมวลจากเหตุการณ์ก็พอจะจับ ทิศทางได้ไม่ยาก เนื่องจากทุกคนเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งกับนโยบายกู้เงินก้อนโต 8 แสนล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านสารพัดโครงการกว่า 6,000 โครงการ จึงน่าที่จะมีบางโครงการจัดสรรมาถึงกลุ่มเอสเอ็มอีบ้าง

แต่หากตรวจดูจากรายละเอียดที่รมว.คลังชี้แจงถึงการใช้เงินกู้ก้อนนี้ กลับไม่พบว่า มีส่วนไหนระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะจัดสรรมาถึงธุรกิจรายย่อย

เอาแค่ว่างบอุดหนุนของรัฐบาลผ่านสถาบันการเงินเพื่อปล่อยกู้ช่วยเหลือเอสเอ็มอีภาคธุรกิจท่องเที่ยวก่อนหน้านี้ 5,000 ล้านบาท ณ วันนี้ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบ

ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ถึงวันนี้ ก็ยังไม่พบว่ามีเอสเอ็มอีท่องเที่ยวรายใดเข้าถึงเงินก้อนนี้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินก้อนนี้ไปอยู่ที่ไหน มีการจัดสรรจริงหรือไม่

ในเมื่องบเก่ายังหาร่องรอยไม่เจอ งบใหม่ก็หวังได้ยาก อาการเอสเอ็มอีก็ซมพิษเศรษฐกิจ และพิษไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เข้าไปทุกที

เส้นตายที่กำหนดไว้ 8 เดือน เผลอๆ อาจจะอยู่ได้ไม่ถึงด้วยซ้ำไป

ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจคนไทยล้มละลายจนหมดเกลี้ยงไปจากระบบ เห็นทีรัฐบาลคงต้องเผื่อแผ่งบให้ตกถึงมือกลุ่มเอสเอ็มอีบ้าง

หากเปรียบเทียบกับกลุ่มเกษตรกรที่ขอ เท่าไหร่ก็จัดสรรงบเติมให้ตลอด แม้จะตกหล่นไปอยู่กับพวกโกงกินซะมาก เหมือนอย่างที่นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่า

เงินที่หว่านไปให้เกษตรกรผ่านโครงการ รับจำนำกว่าแสนล้านบาท ถึงมือเกษตรกรแค่ 20% ของงบประมาณที่ถูกผลาญไป

ในกลุ่มเอสเอ็มอีที่ขอแต่ละรอบ วงเงิน ก็จะอยู่แค่หลักพันล้านบาท แต่ก็ยังไม่ได้ สักรอบ ครั้งนี้น่าจะทบทวนการเกลี่ยงบให้ ทั่วถึงอีกสักรอบ ก่อนลงมือกู้จริง

เพราะงบ 8 แสนล้านบาทนั้น คนไทย ทุกคนเป็นหนี้ร่วมกัน จึงเป็นสิทธิอันชอบ ธรรมที่จะได้รับการเหลียวแลจากรัฐอย่าง เท่าเทียมกัน

http://www.posttoday.com/business.php?id=52446

ชง 4 ข้อคิดบวก "อภิสิทธิ์" ร่วมขับเคลื่อน เมืองไทยยั่งยืน

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ท่ามกลางการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของเมืองไทย ที่มีแต่จะทำให้ภาพรวมของประเทศแย่ลงๆ เอกชน 600-700 ราย ได้ระดมความคิดในทางบวกออกมา 4 ข้อ

เพื่อจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพยั่งยืน รวมทั้งจะนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในงาน CEO Forum 2009 วันที่ 20 มิ.ย.นี้ ซึ่งทาง กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอร์เรชั่น (ซีอาร์ซี) จัดขึ้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ กับ 6,500 ผู้ผลิตจำหน่าย หรือ ซัพพลายเออร์ ที่ค้าขายกับซีอาร์ซี 9 กลุ่มธุรกิจ กว่า 400 สาขาในเครือ คือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างโรบินสัน ห้างเซน ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต โฮมเวิร์ค บีทูเอส และออฟฟิศดีโป

ทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มซีอาร์ซี เล่าถึงข้อเสนอดังกล่าวว่า จาก 6,500 ซัพพลายเออร์ ที่มีรายได้รวมกันกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1 ล้านคน โดยรายได้รวมที่เกิดขึ้นมาจากส่งออก 20% และเป็นการส่งออกภายใต้ยี่ห้อของไทยเอง

ด้วยพลังการบริโภคที่มากถึงปีละ 1.5 ล้านล้านบาทดังกล่าว ผู้ประกอบการได้ระดมความคิดเพื่อที่จะช่วยกันแก้ปัญหาความแตกแยกในประเทศไทย ที่เลือกฝักเลือกฝ่ายจนทำให้ประเทศรวมแย่ลง “ที่ผ่านมาทั้งรัฐและเอกชนไม่ค่อยได้ปรึกษาหาความร่วมมือกัน ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐกับเอกชน หรือเอกชนกับเอกชนเอง ต่างคนต่างทำไปตามข้างหรือฝ่ายที่ตนเองเลือก จึงทำให้เมืองไทยมีแต่แย่ลง ไม่เหมือนต่างประเทศที่เขาร่วมมือกัน ช่วยกันฟื้นเศรษฐกิจ จึงถึงเวลาแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่จะร่วมกันทำให้ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ ข้อเสนอแรกที่จะให้นายกฯ คือ การเพิ่มรายได้ประชากร โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด ประเด็นนี้สำคัญ ถ้าสามารถทำได้จะทำให้ประเทศได้รับผลดีเต็มๆ เพราะคนต่างจังหวัดสัดส่วนมากถึง 90% ของทั้งประเทศ ถ้าทำให้คนรายได้น้อย มีเงินเพิ่มขึ้น จะเกิดการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจหมุนเป็นมัลติพลาย เอฟเฟกต์ได้หลายครั้งกว่าคนรวย ซึ่งอาจจะเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในแง่ของมิติทางสังคม

ทศ

ที่ผ่านมารัฐทำได้ดีในการทำให้กรุงเทพฯ เมืองท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ พัทยา เติบโต เห็นได้จากยอดขายของร้านในเครือในจังหวัดดังกล่าว แต่หลายจังหวัดกลับแย่ รายได้กระจายไม่ดี ขณะต่างประเทศมีการบริหารความเจริญให้กระจายไปหลายเมือง อย่างจีนไม่ใช่เจริญแค่เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กว่างโจว หรือเสิ่นเจิ้น เพราะรัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน กำหนดการเติบโตของแต่ละเมืองอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยควรนำมาใช้

ข้อเสนอที่ 2 สนับสนุนการส่งออกยี่ห้อไทยหรือไทยแบรนด์ ส่งออกนับเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่น่าจะถึง 60-70% ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างที่พูดกัน เพราะยอดส่งออกต้องหักด้วยนำเข้า ถึงจะเหลือเป็นมูลค่าที่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ทุกฝ่ายก็เห็นว่าการส่งออกเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการส่งออกไทยแบรนด์ ซึ่งผู้ค้าขายกับกลุ่มซีอาร์ซีมีกว่า 5,000 ยี่ห้อไทย ถ้าทำสิ่งนี้ได้ จะสร้างการเติบโตได้ระยะยาวและอย่างยั่งยืน มีเสถียรภาพ เห็นได้จากประเทศที่เจริญ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ตลาดจีน อินเดีย นับเป็นโอกาสของไทย เนื่องจากชอบสินค้าไทย แต่ผู้ผลิตไทยแบรนด์หลายรายอยากส่งออก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร

ข้อเสนอที่ 3 ส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมแล้ว 1 ใน 3 ที่ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวจากการสำรวจ คือ ช็อปปิ้ง โดยเฉพาะประเทศที่รายได้น้อยแล้วกลับมามีเงินอย่างจีน อินเดีย กลุ่มดังกล่าวชอบมาเที่ยวเมืองไทย แต่เวลา ช็อปปิ้งจะไปประเทศอื่น จึงถึงเวลาที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าหรูแบรนด์เนมกลุ่มลักชัวรีแล้ว แม้เมื่อ 5-10 ปีก่อนการลดภาษีอาจกระทบสินค้าไทย แต่ขณะนี้เห็นแล้วว่าสินค้าไทยกับกลุ่มลักชัวรีเป็นคนละกลุ่ม เป้าหมาย และสุดท้ายข้อเสนอที่ 4 ความเชื่อมั่น การเมืองต้องนิ่ง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นอย่างมาก

http://www.posttoday.com/business.php?id=53142

"Long tail Marketing" ฉบับ ภูธร"

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4115  ประชาชาติธุรกิจ


"Long tail Marketing" ฉบับ ภูธร"


คอลัมน์ กรณีศึกษา SMEs



ผู้ประกอบการ ในกิจการประเภทค้าปลีก ร้านขายของชำกิฟต์ช็อป เสื้อผ้า เครื่องประดับ มีสินค้า หรือผู้ผลิตสินค้าและบริการ ที่มีสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนๆ หลาย SKU ที่กำลังมีปัญหากับสินค้าที่มีการหมุนเวียนต่ำ ปัญหาสินค้านอกกระแสขายออกช้า สินค้าตกรุ่นมีสต๊อกจำนวนมาก หรือสินค้าบางตัวก็อยู่นานขึ้นหิ้งขายไม่ออก ต้องนำมาเลหลังขายเท่าทุน ขายขาดทุน หรือใช้เป็นสินค้าแลกแจกแถม ตัวอย่างกรณีศึกษาที่ อาจารย์สุพรรรณี วาทะยากร อาจารย์พิเศษวิชาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้นำมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์กรณีศึกษาฉบับนี้อาจจะต้องทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจรีเทลต้องหันกลับมาพิจารณารูปแบบการขายของตัวเองใหม่เพื่อแก้ปัญหาเรื่องสินค้าค้างสต๊อก

ผู้ประกอบการขนาดเล็กท่านนี้ เป็น เจ้าของกิจการร้านเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์เนมระดับกลางและล่าง จำหน่ายในรูปแบบ ร้านค้าปลีกห้องแถวเล็กๆ ในตัวเมืองต่างจังหวัดภาคเหนือ เจ้าของร้านชื่อเจ๊น้อย และร้านค้าของเจ๊น้อยมีเพียง 35 ตารางเมตรเท่านั้น แต่แออัดไปด้วยเสื้อผ้า และ Accessories จากแบรนด์ดังๆ เช่น Chaps, CC00, Jaspal, Playboy, อาจารย์สุพรรณีให้คำอธิบายถึงเหตุผลของการยกให้เจ๊น้อยเป็นเจ้าแม่การตลาดแบบลองเทลฉบับภูธรว่า ร้านของเจ๊น้อยเข้าถึงลูกค้าและสินค้าอย่างแท้จริง เพราะหากคุณเดินเข้าไปซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้สินค้าที่ถูกใจ แต่ที่ร้านของเจ๊น้อย มีเสื้อผ้าเครื่องประดับหลากหลายยี่ห้อให้คงเลือกแต่งผสมได้อย่างเหมาะ เพราะเจ๊น้อยจะทำหน้าที่ fashion consultant หาของที่ลูกค้าหาไม่เจอมา Mix and Match ของแต่ละยี่ห้อให้ใส่สวยได้ ประหยัดเวลาเดินหา

ในทุกๆ อาทิตย์เจ๊น้อยต้องทำหน้าที่เป็น merchandiser ตัวจริงวิ่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อคัดสรรสินค้าให้เข้ากับรสนิยมของลูกค้าในท้องถิ่น บางครั้งเธอทราบว่าของเพิ่งเข้าตอนกลางคืนรุ่งเช้าเธอตีรถเข้ามาเอาของสินค้าลอตใหม่ก่อนผู้ซื้อรายอื่นๆ และจ่ายเงินสดทันที ดังนั้นเมื่อสินค้ารุ่นใหม่มาปุ๊บร้านค้าจึงมักจะรีบโทร.บอกเจ๊น้อยทันทีก่อน กระทั่งสินค้าแบรนด์เนมดังๆ ของไทยได้ขึ้นชื่อของเจ๊น้อยเป็นลูกค้าพิเศษ ทุกครั้งที่จะออกแบบ collection ใหม่ก็เชิญเจ๊น้อยไปดู trend เพื่อให้เจ๊น้อยวางแผนสั่งสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการไม่มีของให้เจ๊น้อยในหน้าร้าน เจ๊น้อยบอกกับอาจารย์สุพรรณีว่าไม่ชอบการดูตัวอย่าง collection มันต้องดูของจริงๆ ที่อยู่ หน้าร้านของแต่ละยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบและคัดเฉพาะของเด่นอย่างเดียวที่ดูแล้วเหมาะกับลูกค้าของเธอ และที่น่าสนใจก็คือเจ๊น้อยเธอขายสินค้าราคาเต็ม ทั้งๆ ที่บางครั้งสินค้าเหล่านั้นอาจจะติดป้ายลดกันกระหน่ำทุกสัปดาห์ที่กรุงเทพฯ และลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก กลางใหญ่ อายุระหว่าง 25-45 ปี ที่บางคนอาจจะซื้อที 125,000 บาทต่อครั้งเลยก็มี

เจ๊น้อยมีรูปแบบการขายด้วยวิธี telemarketing โดยโทร.รายงานลูกค้า ขาใหญ่ทันที หรือบางครั้งขณะเลือกของอยู่โทร.ถามลูกค้าเลยเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะชอบก่อนสั่งเข้ามาเธอจะเลือกแบบแบบหนึ่งไม่กี่ชิ้นมีขนาดครบตามปริมาณลูกค้า เพื่อของจะได้ดูไม่โหลอีกด้วย

อาจารย์สุพรรณีสรุปถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จก็คือ ความสัมพันธ์กับลูกค้า เธอจะคุยทักทายลูกค้ารู้อาชีพ รู้นิสัย และกิจวัตรประจำวัน เพื่อประเมินรสนิยม รวมทั้งทราบว่าลูกค้าแต่ละรายจะติดเงินสดในกระเป๋ามากน้อยเท่าใด เธอใช้ telemarketing โดยมีสมุดเล่มโตเก็บชื่อลูกค้าและบันทึกว่ารายนี้ชอบหรือไม่ชอบอะไร, ปัจจัยแห่งความสำเร็จคือ การคัดสรรสินค้าจากยี่ห้อดัง อินเทรนด์และรวดเร็ว ความหลากหลายของสินค้าเพื่อครอบคลุมครบรสนิยม เหมาะสมกับท้องถิ่น, คุณภาพดีจากแบรนด์มาตรฐาน หลักการบริหารของเธอได้จากการศึกษาด้านการบริหารจัดการจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเธอเอาความรู้และหลักการที่เรียนมาใช้ได้มากประกอบกัน เธอเริ่มต้นด้วยเงินเพียงหมื่นกว่าบาทเมื่อ 16-18 ปีที่แล้วปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยเฉียด 1 ล้านบาท

เธอสรุปว่าสั่งของเป็นเรื่องใหญ่ ต้องดูตาม้าตาเรือ สั่งของไม่เยอะแต่สั่งถี่ๆ อย่าโลภเกินตัว ขายดีต้องเก็บเงินได้ stock ต้องจัดการ mix and match ให้เหมาะกับลูกค้าและต้องไม่ซื้อสินค้าเพื่อมาใส่เองหรือกะขายให้ในหมู่พี่น้องคิดแต่จะสั่งของเพื่อความสวยและเหมาะสมกับลูกค้าทั้งแบบและราคาเท่านั้น ความอดทนและรสนิยมคือหัวใจของผู้ค้าแฟชั่นอย่างเธอ

หน้า 47
 

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

'พลิกฟื้นไม้เศรษฐกิจ' เพิ่มสมดุลธรรมชาติแบบมีมูลค่า...

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.
 
 
'พลิกฟื้นไม้เศรษฐกิจ' เพิ่มสมดุลธรรมชาติแบบมีมูลค่า...
การอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในเขตปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ เป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์และสร้างสมดุลของธรรมชาติ ให้เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรปลูก "ไม้เศรษฐกิจ" อย่างน้อยร้อยละ 20 ของแปลงที่ดินที่ได้รับจัดสรร....  
 
....นอกจากจะเป็นการใช้ที่ดินที่มี  ค่อนข้างจำกัดให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุดแล้ว นับวันไม้ปลูกได้เจริญเติบโต ผลิดอก ออกผล ให้เกษตรกรได้เก็บกิน ใช้สอย สามารถช่วย  ลดภาระค่าใช้จ่ายและยังช่วยเสริมรายได้ในครัวเรือนด้วย
 
นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล เลขาธิการสำนัก งานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวว่า ปี 2552-2553 นี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้ ส.ป.ก. เร่งขับเคลื่อนและขยายผล    "โครงการพลิกฟื้นไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดิน" โดยมุ่งรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรมองเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อสร้างความสมดุล ทางธรรมชาติให้เหมาะแก่การอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ ทั้งยังมุ่งให้เกิดประโยชน์ทางด้านการบริโภคและใช้สอยภายในครัวเรือน ซึ่งจะ ช่วยลดรายจ่ายให้ครอบครัวเกษตรกรได้
 
เบื้องต้นมีแผนสร้างความร่วมมือกับเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน 160 ตำบล 127 อำเภอ 53 จังหวัด ให้ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ยืนต้น และไม้ใช้สอยในที่ดินที่ได้รับจัดสรร โดย ส.ป.ก.สนับสนุนงบประมาณ 1 ไร่ (ค่าวัสดุปลูก 1,000 บาท) เกษตรกรร่วมสมทบอีก 1 ไร่ เป้าหมายพื้นที่ปลูกกว่า 12,000 ไร่ กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 2,280 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6,720 ไร่ ภาคกลาง  1,940 ไร่ และภาคใต้ 1,060 ไร่ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านไม้เศรษฐกิจและพัฒนาจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนไม้เศรษฐกิจ เป้าหมาย 203 กลุ่ม สมาชิก จำนวน 6,000 ราย เน้นให้มีการใช้ประโยชน์และสร้างรายได้จากไม้เศรษฐกิจที่ปลูกด้วย
 
ไม้เศรษฐกิจที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกนั้น มีทั้งไม้อาหารเน้นเพื่อการบริโภคและก่อให้เกิด รายได้  เช่น  สะตอ  แคบ้าน  มะขามป้อม ไม้พลังงานเน้นไม้ที่ใช้ประโยชน์ทางด้านเชื้อเพลิงเป็นหลัก อาทิ  ยูคาลิปตัส  สะเดา  กระถินเทพา และไม้ใช้สอยเน้นไม้ที่ใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้เพื่อการแปรรูปและต่อยอดกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ ไผ่เลี้ยง ไผ่หวาน  ไผ่ซาง  ไผ่ตง หวาย กฤษณา ตะเคียนทอง มะฮอกกานี  ยางนา จามจุรี  เป็นต้น
 
แนวทางการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจในเขตปฏิรูปที่ดิน แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1. ระดับเกษตรกรรายแปลง เน้นให้ปลูกไม้เพื่อใช้ประโยชน์ 4 อย่าง ตามแนวพระราชดำริ ได้แก่ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ และปลูกเพื่อฟื้นฟูระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในที่ทำกินของตนเอง 2.ระดับหมู่บ้าน จะเร่งคัดเลือกหมู่บ้านนำร่อง ตำบลละ 1 หมู่บ้าน ๆ ละ 30-50 ราย ให้ร่วมกันปลูกไม้เศรษฐกิจ ประมาณร้อยละ 15-20 ของพื้นที่ใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ ร่มรื่นและชุ่มชื้นให้กับหมู่บ้าน ตลอดจนพัฒนาจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนไม้เศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ และ 3.ระดับชุมชน โดย ส.ป.ก. จะร่วมกับปราชญ์เกษตรและชุมชนพัฒนาพื้นที่แนวเขตรอยต่อชุมชนกับเขตปฏิรูปที่ดินให้เป็นธนาคารอาหารชุมชน (Food Bank) เพื่อให้เกษตรกรและชุมชน ได้ใช้ประโยชน์
 
นางดอกพุดน้อย มั่นไสย วัย 52 ปี ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านห้วยปลาดุกปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ 13/1 หมู่ 5 ตำบลน้ำพี้  อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเข้าร่วมโครงการพลิกฟื้นไม้เศรษฐกิจฯ กล่าวว่า ก่อนที่จะหันมายึดอาชีพปลูกไผ่ ครอบครัวของตนเคยปลูกไม้ผลมาแล้วหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะขามหวาน  มะขามเปรี้ยว มะม่วง และขนุน แต่มักประสบปัญหาเรื่องตลาดและราคาตกต่ำ จึงมองหาอาชีพใหม่ พบว่าปลูกไผ่น่าจะไปได้ดีจึงเร่งศึกษาเรียนรู้และฝึกอบรมเกี่ยวกับการปลูกไผ่อย่างจริงจัง  และเริ่มปลูกไผ่เมื่อปี 2548 เนื้อที่ 2 ไร่เศษ เป็นไผ่พันธุ์สีทองปราจีนบุรี จำนวน 900 ต้น    
 
ช่วงปีแรกสามารถเก็บหน่อบริโภค และจำหน่ายได้ ทำให้ครอบครัวมีรายได้จากการจำหน่ายหน่อไม้ และหน่อไม้แปรรูปปีละ 60,000 บาท ปี 2550 จึงขยายพื้นที่ปลูกไผ่เพิ่มขึ้นอีก 2 ไร่ จำนวน 500 ต้น เป็นไผ่ซาง โดยปลูกเพื่อขายหน่อและขายพันธุ์ และปี 2552 นี้ ได้ชักชวนเพื่อนเกษตรกรที่อยู่ใกล้เคียงให้หันมาขยายพื้นที่ปลูกไผ่เป็นไม้เศรษฐกิจและรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน มีสมาชิก 16 ราย พื้นที่ปลูกกว่า 50 ไร่ โดยสมาชิกได้ยื่นขอกู้เงินจาก ส.ป.ก. มาลงทุนปลูกไผ่ จำนวน 1 แสนบาท...
 
....ขณะนี้ทางกลุ่มฯ เตรียมแผนสนับสนุนให้สมาชิกนำลำไผ่มาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่า เช่น ผลิตไม้เสียบลูกชิ้น ไม้เสียบอาหาร ไม้ตะเกียบ และไม้จิ้มฟัน ป้อนตลาดที่กำลังมีความต้องการสูง เศษข้อปล้องที่เหลือยังนำไปเผาเป็นถ่านขาย และใบไผ่ยังใช้เป็นปุ๋ยได้อีกด้วย ไม่ต้องพึ่งสารเคมีเลย
 
นับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจและ ภาครัฐควรให้การสนับสนุนส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง.
 
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201596&NewsType=1&Template=1


What can you do with the new Windows Live? Find out

ช็อปฉลาด ตลาดอัจฉริยะ : สืบสานหัตถศิลป์ในโลกไซเบอร์

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.
 
 
ช็อปฉลาด ตลาดอัจฉริยะ : สืบสานหัตถศิลป์ในโลกไซเบอร์
ทองคำเปลว ซึ่งเป็นหัตถศิลป์ในกลุ่มของงานช่างสิบหมู่ สืบทอดวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมรุ่นต่อรุ่นมาจนปัจจุบัน ต้องเผชิญปัญหาของการประกอบการมากมาย นับแต่วัสดุที่นำมาผลิต ที่ต้องเป็นทองคำแท้ 99.99 เปอร์เซ็นต์ มีราคาสูงมาก แต่ราคาขายไม่   สามารถปรับเพิ่มได้ตามความเหมาะสม ถูกกดราคารับซื้อ จำนวนผู้บริโภคก็ลดลงเพราะมี วัสดุสังเคราะห์ทดแทน บางรายทนอยู่ไม่ไหวก็เลิกรากันไป
 
แต่รายของ "แอนบ้านทอง" ที่ผลิตทองคำเปลวมาสืบทอดมาจากรุ่นครอบครัว ได้ปรับตัวครั้งใหญ่โดยอาศัยระบบการตลาดออนไลน์เพื่อแสวงหาช่องทางใหม่ ๆ ในการจำหน่าย เริ่มจากการเปิดเว็บ www. Annbanntong.com และ thaigoldleaf.com เผยแพร่ข้อมูลทั้งการผลิต ระบบการจำหน่าย รวมถึงมีเว็บบอร์ดไว้เป็นที่สนทนาแลก เปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ พร้อมกับเปิดจำหน่ายบนเว็บอีคอมเมิร์ซ www.weloveshopping.com ที่อ้างว่ามียอดการเข้าชมสินค้า กว่า 60 ล้านหน้าต่อเดือน
   
 "แอน" บอกว่า ผลตอบรับดีมาก โดยระบบจำหน่ายดั้งเดิมเป็นการติดต่อกับลูกค้าที่ซื้อขายกันมาทั้งโดยตรงหรือผ่านนายหน้า ที่ยังคงเส้นคงวา แต่ในตลาดออนไลน์เป็นการเพิ่มยอดขายจากลูกค้ารายใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น ช่างปิดทองสำหรับงานหัตถกรรมส่งออก หรือเฟอร์นิเจอร์ส่งออกที่เอาทองประดับเพิ่มมูลค่า หรือในช่วงที่จตุคามรามเทพเป็นที่นิยม ก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ทางร้านจำหน่ายปลีกด้วย ลูกค้าก็สามารถสั่งซื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปใช้ได้ ในระยะหลังนี้มีธุรกิจสปา นำไปบริการ มาสก์หน้าอีกด้วย
 "เราต้องสร้างความน่าเชื่อถือก่อน จากนั้นก็สมัครเปิดร้านบนเน็ต เช่นที่วิเลิฟช็อปปิงดอตคอม หรือที่อื่น เริ่มต้นแบบไม่เสียเงิน จากนั้นก็เอาข้อมูลของเราประชาสัมพันธ์ตามเว็บต่าง ๆ เช่น สนุกดอตคอม พันทิปดอตคอม พอมีคนรู้จักเขาก็คลิกสั่ง การขายไม่ยาก แต่ต้องหาวิธีทำให้คนเชื่อถือและหาเว็บเราให้ได้ก่อน"
    
การเปิดเว็บค้าขายจะให้ได้ผล ในยุคปัจจุบัน ก็ต้องรู้วิธีทำให้เสิร์ชเอนจิน หรือระบบสืบค้นข้อมูลชื่อดังของโลก คือ www. google.co.th รู้จัก โดยแอนบ้านทอง เลือกโฆษณาระบบแอดเวิร์ดส์ ของกูเกิล เสียค่าใช้จ่ายคลิกละ 3 บาท ในขณะเดียวกันก็พยายามให้ข้อมูลบนเว็บต่าง ๆ เกี่ยวกับทองคำเปลว จนเว็บของร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเลื่อนมาสู่อันดับหนึ่งบนหน้าค้นหาเกี่ยวกับทองคำเปลว
    
ตอนนี้แอนบ้านทองรุ่นที่สองกำลังวางแผนเข้าสู่ตลาดเครื่องสำอางผสมทองคำเปลวเป็นจุดเด่นและสปาชุดเล็กสำหรับลูกค้าซื้อไปทำเองที่บ้าน ซึ่งก็คงจะอาศัยโลกออนไลน์เป็นช่องทางจำหน่าย
    
แต่ไม่ว่าช่องทางนี้จะช่วยให้มียอดขายดีเพียงใด เว็บนี้ก็มีกติกาสำคัญว่า จะค้าขายแบบเงินสด ลูกค้าต้องโอนเงินมาก่อนจึงจัดส่งของให้ และเป็นหลักการสำคัญที่แอนบ้านทองฝากกับคนที่สนใจค้าขายผ่านโลกออนไลน์ ให้คำนึงถึงจุดนี้
    
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องทำให้เว็บและร้านค้าของเราเป็นที่เชื่อถือว่าโอนเงินมาแล้วจะไม่เงียบไปเฉย ๆ
    
ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีทันสมัยขนาดไหน ที่ละเลยไม่ได้ก็คือความน่าเชื่อถือซึ่งจะทำให้ลูกค้าไว้วางใจ.

วีระพันธ์ โตมีบุญ
VeeraphanT@Gmail.com


http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201601&NewsType=1&Template=1


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

โล่-เหรียญรางวัลจากแท่งกระจก ซิวรองแชมป์กรุงไทยยุววาณิช

วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6768 ข่าวสดรายวัน


โล่-เหรียญรางวัลจากแท่งกระจก ซิวรองแชมป์กรุงไทยยุววาณิช


คอลัมน์ ไอคิวทะลุฟ้า

ปฤษณา กองวงค์




"ธุรกิจของเราสนับสนุนให้คนทำดี ทำดีแล้วได้รับการยกย่อง สังคมจะได้น่าอยู่ และยังช่วยประหยัดทรัพยากร ธรรมชาติ ช่วยลดโลกร้อนด้วย"

คำบอกเล่าของ เต นายสุรพล แซ่ยะ อายุ 19 ปี ปวช.ปี 3 คณะช่างกลโรงงาน แผนกช่างกลโรงงาน วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ที่นั่งตำแหน่งประธานบริษัท "ฅนใจดี" (Kon-jai-dee) จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ "ผลิตโล่และเหรียญรางวัลจากแท่งกระจก"

ล่าสุดธุรกิจนี้คว้ารางวัลรองชนะเลิศ กรุงไทย ยุววาณิช ปีที่ 7 ที่จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังแนวคิด ประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการให้นักเรียนระดับมัธยมตอนปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพ

ภายในบริษัทมีสมาชิก 9 คน ที่ร่วมกันผลิตโล่รางวัลกระจก เหรียญรางวัลกระจก ของที่ระลึกต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ จากที่เห็นว่าโล่รางวัลต่างๆ มักเป็นพวกอะคริลิก จึงปิ๊งไอเดีย ว่าตัวกระจกที่เหลือทิ้งมากมายในสถานที่ต่างๆ สามารถนำกลับมาทำเป็นโล่รางวัลได้หรือไม่ กระทั่งพัฒนาเป็นชิ้นงานขึ้นมา



ด้วยความชำนาญ และฝีมือดี จึงได้รับความไว้วางใจให้ผลิตโล่เกียรติยศให้กับครูดีเด่นและครูเกษียณอายุราชการ จากสำนักงานเลขาธิการการอาชีวศึกษา รวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ

แม้เตจะเป็นประธานบริษัท ซึ่งทำงานด้านฝ่ายการตลาดแต่ได้ร่วมลงมือทำชิ้นงานด้วย กล่าวถึงการหาวัตถุดิบหลักในการสร้างงานว่า เศษกระจกโดยเฉพาะในวิทยาลัยก็มีมาก และหาจากโรงเรียนต่างๆ โดยถามไถ่ผ่านเพื่อนฝูงโรงเรียนอื่น หรือทราบข่าวจากอาจารย์ และขอให้อาจารย์ทำเรื่องขอเศษกระจกที่ไม่ใช้แล้ว รวมถึงขอซื้อต่อ ตามร้านขายกระจกที่กองทิ้งไว้จำนวนมาก ราคาตกกิโลกรัมละ 2-3 บาท บางครั้งเขาก็ให้มาฟรีๆ จากนั้นเราก็นำกลับมาคัดแยกคุณภาพเพื่อผลิตเป็นชิ้นงาน



ในขั้นตอนการออกแบบ เราจะมานั่งประชุมกัน เลือกแบบที่ดูดีและประหยัดเวลา ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ จากนั้นออก แบบเสนอให้ลูกค้า จัดเตรียมกระจกและลงมือปฏิบัติ หลังทำโล่ก็ต้องมีกล่องใส่ ซึ่งเราใช้กล่องที่ผลิตจากกลุ่มแม่บ้านสันป่าข่อยที่ขายเป็นผลิตภัณฑ์โอท็อป

เตบอกว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดี น้ำมันแพง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือค่าจัดส่งสินค้า จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความเสียหาย ส่วนแผนพัฒนาในอนาคตมองว่าจะใช้อะไรก็ได้ที่คนไม่เห็นคุณค่ามาประยุกต์ อาจเป็นไม้ แผ่นโลหะบางๆ หรือเศษวัสดุจากโครง การทำป้ายของสถานที่ต่างๆ เช่น เศษหินอ่อนที่เขาตัดทิ้ง ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ก็คิดกันต่อว่าจะนำสิ่งเหล่านี้กลับมาเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อย่างไร

ช่วงที่มีงานเยอะคือปลายปีและต้นปี แต่ถ้าช่วงไหนว่างจะออกไปช่วยสอนการแกะกระจกให้ชาวบ้าน โดยจะสอดแทรกเรื่องการดำรงชีวิตแบบพอเพียง ที่อ.เชียงดาว อ.แม่ริม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เข้าไปสอนนักโทษที่ใกล้จะพ้นโทษ และเข้าไปที่ค่ายทหารที่อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ด้วย มีคนสนใจเข้ามาขอคำแนะนำ

เตเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงหลังก้าวเข้าสู่ระบบธุรกิจว่า "ชีวิตเปลี่ยนไปมากครับ ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตร่วมกัน ที่ต้องใช้ความสามัคคีในการทำงาน ได้พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพมากขึ้น จากตอนแรกไม่รู้เรื่องธุรกิจ บัญชี แล้วต้องออกไปพบลูกค้า ทำให้เราสามารถพัฒนาด้านการพูด เป็นการเพิ่มความกล้าหาญให้กับตัวเอง นอกจากนี้ การทำธุรกิจสิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและเพื่อนร่วมทีม"

ผู้สนใจผลงานติดต่อได้ที่ บริษัท "ฅนใจดี" วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โทร. 08-7188-6614 หรือคลิกที่ www.cmtc.ac.th

หน้า 24
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNVEV3TURZMU1nPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd09TMHdOaTB4TUE9PQ==

รีไซเคิลยาง (ล้อ) รถยนต์ได้แล้ว

วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11414 มติชนรายวัน


รีไซเคิลยาง (ล้อ) รถยนต์ได้แล้ว


คอลัมน์ จูนคลื่น

โดย waisang@matichon.co.th




วิธีการใหม่ที่จะนำยางรถยนต์ กลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง จากรุ่นเดิมๆ ที่มักนำยางเก่าไปทิ้ง ถ้าเป็นเมืองไทยก็มักนิยมเอาไปล้อมต้นไม้ขนาดที่ยังเล็กอยู่เพื่อป้องกันดินทลาย เมื่อก่อนก็มีฮิตพักใหญ่ๆ ว่ามีรองเท้า ทำจากยางรถยนต์ ซึ่งก็เป็นการรียูสอย่างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ยางรุ่นใหม่ที่มีการผลิตคุณภาพสูง เปลี่ยนส่วนประกอบให้มีประสิทธิภาพในการใช้และการจัดการใหม่ เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือของบริษัท CSIRO และ VRTEK ของออสเตรเลีย ได้ร่วมกันพัฒนาส่วนผสมและกระบวนการยาง ซึ่งทีมพัฒนา แบรรี่ ฟินนิน วิศวกร บอกว่า การสร้างผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลลัพธ์คุณภาพสูงจากยางผงคือ เคล็ดลับเติมเข้าไปในยางโพลีเมอร์ ให้เกาะถนนได้ดีตามความต้องการใช้งานจากรถยนต์แต่ละประเภท เมื่อใช้งานศึกเสร็จสิ้น ทิ้งไว้กว่าจะสิ้นสลายนานเป็นร้อยเป็นพันปี หรือทำลายก็ลงทุนเยอะทั้งหมดล้วนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษลงดิน แบบนี้ส่วนผสมใหม่ในการเติมเต็มให้ยางรถยนต์มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก ถือเป็นรีไซเคิลโซลูชั่นที่ช่วยดูแล-ลดต้นทุนสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง


หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe02100652&sectionid=0147&day=2009-06-10

 

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/