วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Banana Syrup รายแรกในเมืองไทย

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11403 มติชนรายวัน


Banana Syrup รายแรกในเมืองไทย


คอลัมน์ ทางเลือกทางรอด

โดย ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง



ก่อนจะเดินทางไปทำข่าว จ.พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ตามคำเชิญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ยอมรับว่าไม่เคยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) เลย เพิ่งมาทราบก็ตอนไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการต่างๆ หลายรายที่ล้วนผ่านการอบรมในโครงการนี้ ซึ่งต่างพูดตรงกันว่าได้รับประโยชน์มหาศาลและคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เพราะทำให้พวกเขาหูตากว้างไกล ได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลือต่างๆ จากหน่วยงานของรัฐ ที่สำคัญได้เจอเพื่อนพ้องน้องพี่ที่สามารถมาเกื้อหนุนทางธุรกิจกันได้

นักธุรกิจคนหนึ่งของโครงการ คพอ.ที่ได้ไปคุยด้วยคือ "ศิริ วนสุวานิช" เจ้าของบริษัท ศิริวานิช (เอส แอนด์ ดับเบิ้ลยู) จำกัด อยู่ที่ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งทำผลิตภัณฑ์จากกล้วยเป็นหลัก ทั้งกล้วยตาก กล้วยอบ กล้วยม้วน กล้วยสอดไส้มะขาม มะขามและข้าวโพดอบกรอบ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กิจการของเขาจะรุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้ เขาก็เคยผ่านอุปสรรคมามากมาย เพราะธุรกิจก่อนหน้านี้คือการทำข้าวโพดอบกรอบและข้าวเกรียบ ประสบปัญหาขาดทุน แบงก์ก็ไม่ให้กู้เงิน

วันนี้ คุณศิริมักถ่อมตนอยู่เสมอว่ามีความรู้แค่ชั้น ปวช. แต่ถ้าใครไปดูโรงงานของเขาและสนทนาถึงแนวคิดต่างๆ ในการทำธุรกิจ ต้องบอกว่าเขาคนนี้มีวิสัยทัศน์ เป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต และพยายามทุกวิถีทางในการพัฒนาสินค้า เข้าร่วมในโครงการต่างๆ ของราชการ ล่าสุด ได้ร่วมกับ "ดร.น้ำทิพย์ วงษ์ประทีป" อาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พัฒนาขั้นตอนการผลิต Banana Syrup ซึ่งให้ผลกำไรก้อนงามมากกว่าการขายกล้วยตากเสียอีก

ศิริ วนสุวานิช


ถือว่าเขาเป็นรายแรกที่ทำ "Banana Syrup" ในเชิงพาณิชย์ ตอนนี้แม้ว่าน้ำกล้วยที่ได้จากการทำกล้วยตากจะเป็นแค่ผลพลอยได้แต่ก็เป็นสินค้าที่มีอนาคตสดใส เพราะขายได้ถึงลิตรละ 480 บาท โดยกล้วยจำนวน 1,000 กิโลกรัม (กก.) สามารถทำน้ำกล้วยเข้มข้นได้ 30 กก. ลูกค้าที่มาซื้อเป็นพวกบริษัทต่างๆ อาทิ บริษัท ยามาซากิ

แม้บางคนจะมองว่าน้ำกล้วยเป็นเรื่องใหม่ แต่อันที่จริงแล้วปีหนึ่งๆ ประเทศไทยนำเข้าน้ำผลไม้ไซรัปแบบนี้ปีละหลายร้อยล้านบาท โดยเฉพาะน้ำแอปเปิ้ลไซรัป ซึ่งจุดนี้เองคุณศิริมองไปข้างหน้าว่า น่าจะสามารถนำผลไม้อื่นมาทำไซรัปแบบเดียวกันนี้ได้

คุณศิริบอกด้วยว่า นอกจากจะทำ Banana Syrup ชนิดเข้มข้นแล้ว ยังจะทำน้ำกล้วยพร้อมดื่มด้วย โดยจะร่วมมือผลิตกับบริษัทที่เป็นพันธมิตร ส่วนผสมประกอบด้วยน้ำกล้วย 75 เปอร์เซ็นต์ น้ำอัญชัน 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ และเพื่อให้มีสีสันสวยงาม ในอนาคตต่อไปอาจจะนำน้ำกล้วยมาบรรจุเป็นแค็ปซูลอีกด้วย เพราะในน้ำกล้วยมีสารประกอบของน้ำตาลฟรุทโตส (โมเลกุลเดี่ยว) ร่างกายสามารถนำไปเป็นพลังงานได้ทันที และยังมีกรดผลไม้ในตัวเอง ซึ่งมีคุณประโยชน์ช่วยย่อยอาหารและดูดซึมอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานเพื่อเพิ่มความสดชื่น มีชีวิตชีวา จากการออกกำลังกาย เล่นกีฬา ทำงานหนัก หรือคร่ำเคร่งจากการงานหรือการเรียน นอกจากนี้มีแผนจะทำแยมกล้วยเหมาะสำหรับคนรักษาสุขภาพ

นี่แหละน้ำกล้วยชนิดเข้มข้นหวานเหมือนน้ำผึ้ง


ด้าน ผศ.ดร.น้ำทิพย์ให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า ความจริงน้ำกล้วยที่ได้มีความหวาน 40-42 บิกเท่านั้น แต่เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อให้เข้มข้นขึ้นจะได้ความหวาน 70 บิก เท่ากับความหวานของน้ำผึ้ง ซึ่งถ้าใครแพ้น้ำผึ้งเพราะไม่รู้ว่ามาจากเกสรดอกไม้อะไร แต่สำหรับน้ำกล้วยแล้วไม่มีคนแพ้อย่างแน่นอน อีกทั้งในน้ำกล้วยยังมีสารอาหารต่างๆ อีกหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ผลิตภัณฑ์กล้วยของเขาแบรนด์ TAI-TAI "ไท-ไท" มีวางขายทั่วไปใน Modern Trade เช่น Tops Supermarket, The Mall Shopping Centre, Siam Paragon, FoodsLand Supermarket, Tesco Lotus, ร้านโครงการหลวง โรบินสัน รังสิต ร้านริมปิง เชียงใหม่ ร้านเมธี ภูเก็ต ร้านจำหน่ายของฝากหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) พิษณุโลก เป็นต้น นอกจากนี้ทางสายการบินลาว และบางกอกแอร์เวย์สก็สั่งขึ้นเครื่องแจกผู้โดยสาร

ด้วยขั้นตอนการผลิตที่สะอาดและรสชาติไม่หวาน ทำให้ได้รับรางวัลประกวดคัดสรรผลิตภัณฑ์ชุมชน โอท็อปห้าดาว ในส่วนของกล้วยม้วน "ไท-ไท" และในการประกวดผลิตภัณฑ์อาหาร งานเกษตรแห่งชาติประจำปี 2551 ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก เขาคว้ามาได้ 3 ผลิตภัณฑ์ คือ รางวัลชนะเลิศ 2 ผลิตภัณฑ์ ทั้งกล้วยอบ ไท-ไท และกล้วยม้วนนิ่ม ส่วนรางวัลที่ 3 เป็นผลิตภัณฑ์กล้วยสอดไส้มะขาม ซึ่งสินค้าตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในหมู่วัยรุ่น

ทุกวันนี้มีผู้คนทั้งภาครัฐและเอกชนมาศึกษาดูงานที่โรงงานเขาเป็นประจำ โดยคุณศิริได้ถ่ายทอดประสบการณ์และบอกเล่าวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ซึ่งเมื่อเจอปัญหาขาดทุนเขาแนะนำว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ และถ้าขั้นตอนไหนที่สามารถจ้างผลิตได้ก็ต้องทำเพื่อลดต้นทุน จะทำให้ไม่ต้องสต๊อคสินค้า และมีเวลาในการบริหารงานขายเน้นทำการตลาดอย่างเดียว

สนใจผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท ศิริวานิชฯ ติดต่อได้ที่ 08-1962-9594 หรือ 0-5526-8038


หน้า 23
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01cho01300552&sectionid=0144&day=2009-05-30

check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

สวนนายดำ' จากสวน'ส้ม' สู่สวน'ส้วม'

วันที่ 29 พฤษภาคม 2552 เวลา 09:21 น.
 
'สวนนายดำ' จากสวน'ส้ม' สู่สวน'ส้วม'
 
เค้าว่ากันว่า ใครที่อายุยังน้อย มักจะไปเที่ยวในสถานที่สวยงาม บรรยากาศดี ๆ หรือถ้าเป็นคนที่อะดรีนาลีนพุ่งพร่านไม่หยุด ก็ต้องไปทำกิจกรรมโลดโผน ทั้งปีนผา โรยตัว บันจี้จั๊มพ์ ฯลฯ แต่ถ้าอายุเริ่มมากขึ้น...มากขึ้น ข้อแขน ข้อเข่า เริ่มยึด การท่องเที่ยวแนวแอดเวนเจอร์ต่างๆ คงไม่เหมาะ

ดังนั้น 'เดลินิวส์ ไกด์' ขออาสาพาไปเที่ยวเชิงเกษตรที่ 'สวนนายดำ' อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร กัน เพราะที่สวนแห่งนี้ นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่อง 'ส้มโชกุน' แล้ว เรื่อง 'ส้วม' เขาก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน

คุณพงษ์ศักดิ์ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ เจ้าของสวนนายดำรุ่นที่สอง เล่าให้ฟังว่า บิดาของตนคือ 'นายดำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์' พื้นเพเป็นชาวหลังสวนมาตั้งแต่กำเนิด ผ่านชีวิตการทำงานมา แล้วหลายอาชีพ ก่อนจะมาลงตัวที่การเป็น 'เกษตรกร' จากนั้นจึงเริ่มลงมือปลูกเงาะ ผลไม้ชนิดแรกลงบนที่ดินผืนนี้ แต่ 10 ปีให้หลัง การทำสวนเงาะเริ่มพบกับปัญหาการเก็บเกี่ยว และการรักษาคุณภาพ จึงเริ่มปลูกผลไม้ชนิดอื่นแทน นั่นคือ 'ทุเรียน' ซึ่งนอกจากจะพัฒนาให้ปลูกนอกฤดูได้แล้ว ผลผลิตที่ออกมาก็ถูกปากยิ่งนัก จนได้รับรางวัลจากกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เมื่อปี 2535

เมื่อรู้ว่าการปลูกพืชหมุนเวียน จะช่วยในการรักษาหน้าดิน ผลไม้ชนิดต่อมาที่ 'นายดำ' เริ่มทดลองปลูกคือ 'ส้มโชกุน' ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างชื่อให้กับสวนนายดำ จนเป็นที่รู้จักไปทั่ว รวมไปถึงมะละกอพันธุ์ทุ่งตะโก รสชาติหอมหวาน และแก้วมังกร ผลโตน่าเจี๊ยะ
 
ไม่เพียงแต่ผลไม่เท่านั้น เพราะ 'สวนนายดำ' ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ไม้ประดับที่สวยงามด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเดินไปทางไหน จะเห็นว่ามีการจัดสวนไว้มากมายหลายแบบ ซึ่งคุณพงษ์ศักดิ์ บอกว่า ไม่หวง หากใครที่ต้องการนำแนวคิดไปจัดสวนเองที่บ้าน
และที่เห็นจะเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งของ 'สวนนายดำ' นั่นคือ 'ส้วม' หรือสถานที่ปลดทุกข์ ซึ่งที่นี่ได้กลายเป็น 'ศูนย์การเรียนรู้ส้วมสาธารณะไทย' ของกรมอนามัย กระทรวง สาธารณสุข ทั้งนี้ คุณพงษ์ศักดิ์ ยังเป็นแกนนำ ร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดชุมพรและกรมอนามัย พัฒนา 'ส้วม' ที่เป็นสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้สะอาด ถูกสุขอนามัย จนทำให้จังหวัดชุมพร 'ดินแดนแห่งส้วมสะอาด' อีกทั้งตัว คุณพงษ์ศักดิ์ เอง ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 'ทูตส้วม' (Toilet Ambassador) ด้วย

ทั้งนี้ 'ส้วม' ที่มีอยู่ภายใน'สวนนายดำ' มีมากมายหลายแบบ ทั้งส้วมที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ดอกไม้ ต้นไม้ ไม่ต้องติดพัดลมหรือแอร์ก็ได้บรรยากาศที่เย็นสบาย โดยนำแนวคิด มากจากการ 'ไปทุ่ง' ของคนไทยในสมัยก่อน ส้วมเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ส้วมหนูน้อย ฯลฯ
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความหอมแบบไทยๆ และเพื่อเป็นการประหยัดในเรื่องของน้ำยาดับกลิ่น 'ส้วม' ที่นี่จะใช้การปลูกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแทน ทั้ง 'ดอกสายหยุด' ที่จะให้กลิ่นหอมใน ตอนเช้า 'ดอกจำปูน' ให้กลิ่นหอมช่วงสายถึงเที่ยง ช่วงบ่ายได้กลิ่นหอมจาก 'ดอกขจร' และช่วงเย็นจนถึงค่ำ จะได้กลิ่นหอมจาก 'ดอกนมแมว' และ 'ดอกลำดวน'

ซึ่งหากมีโอกาสได้ไปเที่ยวในช่วงนี้ จะเห็นว่ามี 'ส้วม' แปลกเกิดขึ้นใหม่อีก 2 แบบ คือ 'ส้วมทาร์ซาน' ซึ่งต้องปีนบันไดลิงขึ้นไปปลดทุกข์บนต้นไม้ และ 'ส้วมรู' ที่หลังจากเสร็จกิจธุระ แล้วจะต้องปีนออกทางรู คล้ายรูของส้วมชักโครก

ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะ 'ทูตส้วม' อย่างคุณพงษ์ศักดิ์ กำลังพัฒนาสร้างส้วมในแบบใหม่ๆ อีกหลากหลายแบบ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเที่ยวภายในสวนนายดำได้ 'ปลดทุกข์' คงเหลือแต่ 'ความสุข' กลับไป

แต่ใช่ว่า 'วัยรุ่น' จะเที่ยวที่สวนลุงดำไม่ได้ เพราะเรื่องแปลกๆ แหวกแนวแบบนี้ ขาโจ๋ทั้งหลายไม่น่าพลาด...

หมายเหตุ
สวนนายดำ ตั้งอยู่ที่ 199 หมู่ 7 ตำบลตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 077-536-338-9 และ 089-652-0743 หรือทางอีเมล์ที่ suannaidum@yahoo.com

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=200561&NewsType=1&Template=1

 

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กทช.อนุมัติแล้ว ร่างหลักเกณฑ์วิทยุชุมชน

 Pic_8998 

หลังจัดสัมมนา ร่างหลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว หรือวิทยุกระจายเสียง เมื่อ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา คาดต้นเดือนก.ค.2552 ประกาศร่างเพื่อบังคับใช้…

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจโทรคมนาคมแห่งชาติ  หรือกทช. กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กทช. วานนี้ (27 พ.ค.)ว่า คณะกรรมการกทช.ได้อนุมัติร่างหลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว หรือวิทยุกระจายเสียงเรียบร้อยแล้ว หลังจัดสัมมนา เรื่องร่างหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว (วิทยุกระจายเสียง) ขึ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2552 ผ่านมา

เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า จากการรับฟังความคิดเห็นของคณะอนุกรรมการ จึงสรุปความคิดเห็นให้กทช.พิจารณา ขณะเดียวกัน กทช.ได้แก้ไขในบางส่วน อาทิ มาตรฐานทางเทคนิคการติดตั้งวิทยุชุมชน และการทดลองออกอากาศ อย่างไรก็ตาม จากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้ความสำคัญในเรื่องนี้พอสมควร ดังนั้น กทช.จึงได้พิจารณาจากเดิม 90 วัน เป็น 300 วันในการทดลองออกอากาศ

นายสุรนันท์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นผู้มีสิทธิ์สามารถขอลงทะเบียนได้ที่ กทช.ส่วนภูมิภาค สำหรับรายละเอียดเรื่องการลงทะเบียนจะชี้แจงอีกครั้ง นอกจากนี้ กทช.จะนำร่างหลักเกณฑ์วิทยุชุมชนที่อนุมัติ นำขึ้นเว็บไซต์กทช.ในวันที่28 พ.ค.2552  เป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบถึงร่างดังกล่าว ทั้งนี้ กทช.สามารถประกาศร่างหลักเกณฑ์วิทยุชุมชนเพื่อบังคับใช้ได้ภายในต้นเดือนก.ค.2552

http://www.thairath.co.th/content/tech/8998

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Notification

Notification!!

You are a certified winner of£250,000.00Pounds by

the PBL award 2009 fill in below your names,

address,sex, age, telephone, occupation.

Regards
Mr A.Moore
pbl.andersonmoore@hotmail.co.uk

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไอซีที-กทช.เตรียมตั้งคณะกก.พิจารณาดาวเทียมดวงใหม่

วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 22:06:21 น.  มติชนออนไลน์

ไอซีที-กทช.เตรียมตั้งคณะกก.พิจารณาดาวเทียมดวงใหม่

ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ณ สำนักงานกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมว่า การประชุมดังกล่าวเป็นการหารือเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาหาดาวเทียมดวงใหม่ที่จะมาทดแทนดาวเทียมไทยคม 1 และดาวเทียมไทยคม 2 ซึ่งจะหมดอายุการใช้งานในปี 2553 นี้ ตลอดจนกำหนดการยิงดาวเทียมใหม่ในอนาคต โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีหน้าที่พิจารณาว่าดาวเทียมที่สร้างขึ้นมาใหม่หรือดาวเทียมที่จะมาทดแทนนั้น ประเทศไทยจะเป็นผู้ลงทุนและสร้างดาวเทียมเอง  หรือเป็นการเปิดเสรีธุรกิจดาวเทียมโดยเปิดโอกาสให้เอกชนและต่างชาติที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนสร้างดาวเทียม  นอกจากนี้ยังมีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นที่ไทยจะเช่าดาวเทียมจากต่างประเทศ  ตลอดจนประเด็นการขอซื้อและเช่าใช้วงจรดาวเทียมของไทยจากบริษัทต่างประเทศ ซึ่งเดิมบริษัท ไทยคม จำกัดเป็นผู้ได้รับสิทธิ์การให้บริการ
 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1243350445&grpid=03&catid=04


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

'ของเล่นใหม่' วัยเสี่ยง 'มือถือ 3G' ใช้ไม่ดี 'ยิ่งมีปัญหา!'

วันที่ 22 พฤษภาคม 2552 เวลา 00:00 น.
 
 
'ของเล่นใหม่' วัยเสี่ยง 'มือถือ 3G' ใช้ไม่ดี 'ยิ่งมีปัญหา!'
เป็นข่าวหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับการผลักดัน "เทคโนโลยี 3จี (3G)" เพื่อเปิดโลกการติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือ    "มือถือ" ของคนไทยให้กว้างขึ้นอีก เห็นว่าปลายปีนี้อาจได้    ใช้ ?!? ซึ่งกับหลาย ๆ วงการ เช่น วงการธุรกิจ เทคโนโลยีนี้คงสร้างประโยชน์ได้ไม่น้อย แต่ถ้าใช้เล่น ๆ เป็นแฟชั่น...ก็แค่เปลือง   เงิน !?!
 
และกับ "วัยรุ่น" เทคโนโลยี "3G" อาจแค่ของเล่นใหม่
 
ที่สำคัญคือ...เป็นของเล่นที่ "อาจเพิ่มปัญหาวัยรุ่น ?!?" 
 
"...คุยกันสด ๆ เห็นภาพผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้เลย เหล่าวัยรุ่นคงจะชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ เพียงแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว..." ...นี่เป็นการระบุของ นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล   จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ ซึ่งจิตแพทย์รายนี้ชี้ว่า... "มือถือ 3G อาจจะยิ่งเพิ่มปัญหาในเชิงจิตวิทยาให้กับวัยรุ่นไทยมากขึ้น" จากเดิมก็หนักพออยู่แล้วทั้งจากมือถือเดิม ๆ และอินเทอร์เน็ต ที่มีช่องทาง-มีโปรแกรมให้เด็กวัยรุ่นไทย "ใช้ผิดประเภท" หลายรูปแบบ ตั้งแต่ เล่นเกมมากเกินไปจน    ติดงอมแงม แชตกันจนไม่เป็นอันทำอะไร ไปจนถึงโชว์หวิว-โชว์ของสงวน ออนไลน์ ขายบริการทางเพศแอบแฝง
 
"สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมวัยรุ่น เนื่องจากเกิดการติดงอมแงม เลิกไม่ได้ เพราะหากไม่เล่นจะเหงา เศร้า แทบจะขาดใจ บางรายมีพฤติกรรมก้าวร้าว และชอบใช้กำลังอีกด้วย" ...นพ.กัมปนาท ระบุ พร้อมทั้งบอกว่า... การใช้เทคโนโลยีที่ผิด ผลที่ตามมาอาจสร้างความเดือดร้อนและอับอายทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม สะท้อนถึงความเสื่อมของสังคม จากค่านิยมคนกลุ่มต่าง ๆ ...
 
เช่น... เยาวชนที่เลียนแบบพฤติกรรมกันอย่างเมามัน, เด็กที่มีปัญหาครอบครัว ขาดการควบคุมดูแลที่ดีจากผู้ปกครอง, เด็กที่ขาดความรักจากครอบครัว และความภาคภูมิใจในตนเอง หรือถูกตามใจมากเกินจนมั่นใจแบบไร้สติ, คนที่ทำตัวเป็นอาชญากรสังคม ฉกฉวยผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของผู้อื่น โดยการแอบถ่ายภาพหรือนำภาพไปแสวงหาประโยชน์, กลุ่มรักร่วมเพศ ที่มักจะถูกสังคมกล่าวหาอยู่เสมอ ๆ แต่จริง ๆ แล้วชายจริง-หญิงแท้ก็มีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ไม่น้อยไปกว่ากลุ่มรักร่วมเพศ หรืออาจจะไม่แตกต่างกันเลยก็ได้
 
การ "ใช้เทคโนโลยีผิดประเภท" ยังส่งผลกระทบทางอ้อมอีก กล่าวคือ... มีผู้ตกเป็นเหยื่อรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบไร้พรมแดน โดยการกระตุ้นอาการบางอย่างของปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะพฤติกรรม "เบี่ยงเบนทางเพศ" ที่นับวันจะมีมากขึ้น พฤติกรรม "ชอบโชว์" หรือ "ชอบถูไถ" ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ "คดีอาญา" อาจเริ่มจากคดีเล็กน้อยแค่เสียค่าปรับ แล้วบางรายอาจต้องคดีที่รุนแรงมากขึ้นตามมา เช่นคดี "ข่มขืนกระทำชำเรา"
 
"เทคโนโลยีเหล่านี้บางครั้งล้ำลึกเกินความสามารถที่เราจะควบคุมมันได้ อย่าลืมว่าตัวเราเองยังไม่สามารถควบคุมใจเราได้ เราจะหวังให้คนอื่นมาเก็บความลับของเราคงไม่ง่ายนัก อาจจะรู้ไม่เท่าทันว่าได้ตกเป็นเหยื่อไปเสียแล้ว" ...นพ.กัมปนาท เตือนวัยรุ่นในการใช้เทคโนโลยีผิดประเภท โดยเฉพาะ "มือถือ 3G" ที่ใกล้จะแจ้งเกิด พร้อมฝากถึงครอบครัวด้วยว่า... หากพบลูกหลานหรือคนในครอบครัวมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ และน่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต ควรพาไปพบบุคลากรที่ดูแลปัญหาสุขภาพจิตจะดีกว่าปล่อยไปเรื่อย ๆ เพราะปัญหาจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ในที่สุด
 
ด้าน ครูยุ่น-มนตรี สินทวิชัย เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ระบุว่า... แม้ปัจจุบันจะมีการขยายโอกาสทางการศึกษาที่สูงขึ้น แต่ปัญหาจากเรื่องของเทคโนโลยีก็มีสูงตามไปด้วย ซึ่งสิ่งที่อยู่ในความสนใจของเด็กวัยรุ่นคือ "เพศ" และ "ความรุนแรง" โดยมีอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีเป็นตัวสนับสนุน เป็นการใช้ที่ผิดทาง ซึ่งก็มีคำถามย้อนกลับว่า... ระบบการศึกษาปัจจุบันมีผลไหมที่ทำให้เด็กมีการแสดงออกแบบนี้ ? เช่น การศึกษาที่อยู่ในกรอบ-ในระบบการแข่งขัน มีการเปรียบเทียบ มีการแพ้-ชนะ ทำให้เด็กเครียด หาทางออกไม่ได้ จึงแสดงออกด้วยวิธีใช้เทคโนโลยีแบบผิด ๆ ซึ่งตรงนี้ก็มีคำถามว่า... ภาครัฐจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร ?
 
"หากการแก้ปัญหายังเป็นการห้ามโน่นห้ามนี่ หรือรวมไปถึงการสกัดสิ่งที่ปรากฏมาในเทคโนโลยี โดยไม่มีกิจกรรมทางเลือกอื่น ๆ ให้เด็กเลย ก็คงไม่สามารถช่วยให้เด็กไม่กลายเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีแบบนี้ ซึ่งปัญหานี้หมายถึงความมั่นคงในครอบครัวและสังคมด้วย" ...ครูยุ่นชี้
 
ขณะที่ กีรติกา แผงลาด ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ก็บอกว่า... ปัญหาจากเทคโนโลยีนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ซึ่งการใช้อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยีมาก ๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน และกีดกั้นไม่ได้ด้วย เพราะยิ่งห้ามจะเหมือนยิ่งยุเข้าไปอีก ซึ่งการท่องโลกกว้าง หรือการมีสังคมกับคนอื่น ๆ ของเด็กวัยรุ่น เรื่องที่ไม่ดีก็แฝงเข้ามาด้วย
 
"เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ ยิ่งเรื่องเพศยิ่งเป็นเรื่องที่เด็กสนใจอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการปลูกฝังหรือการให้แง่คิดกับเด็กว่าการกระทำแบบใดไม่ควรทำ ถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวต้องหาเวลาอยู่ด้วยกันและพูดคุยกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะแก้ปัญหาไม่ให้เด็กกลายเป็นเหยื่อทางสังคมที่มาจากความทันสมัยของเทคโนโลยี" ...ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายครอบครัวระบุ
 
"มือถือ 3G" กำลังจะแจ้งเกิดแพร่หลายในเวลาอีกไม่นาน
 
เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์แต่ก็ "อาจมีโทษถ้าใช้ผิดประเภท"
 
ผู้ใหญ่ไทยเตรียมป้องกันภัยให้เด็กวัยรุ่นไทย...หรือยัง ??.
 
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74032&NewsType=2&Template=1


What can you do with the new Windows Live? Find out

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กำไร 3 ค่ายมือถือพาเหรดดิ่งเหว

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
3 ฮัลโหลมือถือ เหงื่อตก มองไม่เห็นหนทางฟื้น เจอทั้งพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวหาย

นายทอเร่ จอห์นเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เปิดเผยว่า ดีแทคไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 จะดีขึ้น หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมามีรายได้ 16,501 ล้านบาท ลดลง 6.8% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศ

ทั้งนี้ หากปัจจัยแวดล้อมยังไม่ดีขึ้น อุตสาหกรรมโทรคมนาคมก็คงได้รับผลกระทบต่อไป โดยรายได้ที่ลดชัดเจนคือ บริการข้ามแดนอัตโนมัติ (โรมมิง) หายไปราว 20% จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

ด้านนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า ไตรมาส 2 จะยังไม่ดีขึ้น เพราะ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่คลี่คลาย ผนวกกับปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นต้น

สำหรับรายได้รวมของเอไอเอสอยู่ที่ 2.63 หมื่นล้านบาท ลดลง 8.2% ขณะที่ทรูมูฟมีรายได้จากการให้บริการลดลงเช่นกัน อาทิ บริการจากระบบเติมเงิน (พรีเพด) 3,900 ล้านบาท ลดลง 5.1% เป็นต้น

http://www.posttoday.com/business.php?id=49019

 

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Good day

Attn:

We have concluded yesterday with the governor of Zenith Bank here in
Nigeria that you should start receiving your payment of USD 450,000.00
through western union money transfer from next tomorrow but
you will be receiving $10,000 USD only per a day , so you are advice to
contact the western union operator Mr.Geary Smith right now contact him
via email and re-confirm your information to him right away so that he
will send you your money control number of your first payment of USD
10,000.00 for you to pick it up in any western union near you.Here is
Mr.Geary Smith email:{wu_payout7@btinternet.com}Tel+234-7064-6465-37
Name:, Age:, Address:, Tel:.

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คลังชี้ชะตา 2 แบงก์รัฐ ธนาคารกรุงไทยและธนาคารนครหลวงไทย

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
กองทุนฟื้นฟูฯ ขอไฟเขียวคลัง เร่ขายสินทรัพย์ 2 แสนล้านบาท ยันขายธนาคารนครหลวง

แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน อยู่ระหว่างขอนโยบายจากนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เรื่องการ บริหารทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ถือครองอยู่ร่วม 2.26 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งหุ้นของธนาคารกรุงไทย ธนาคารนครหลวงไทย รวมถึงทรัพย์สินรอการขายอีกจำนวนหนึ่ง ว่าจะให้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผู้ดำเนินการขายเอง หรือกระทรวงการคลังจะรับโอนไปขายเอง ทั้งนี้ หลังจากที่มีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นมา ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ ต้องยุติบทบาทลง และต้องโอนทรัพย์สินเพื่อชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นก่อนปี 2556 ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรีบดำเนินการ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์มูลค่ามาก

ขณะที่การขายหุ้นธนาคารกรุงไทยและธนาคารนครหลวงไทยที่ถือครองอยู่ออกไปจะมีผลกับตลาดอย่างมาก

ปัจจุบันกองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้นในธนาคารกรุงไทยอยู่ 6,184 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 55.5% และถือครองหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยอยู่ 1,005 ล้านหุ้น คิดเป็น 47.58%

"เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงการคลังว่าจะขายหุ้นธนาคารทั้ง 2 แห่งหรือไม่ และหากจะขายจะให้กองทุนฟื้นฟูฯ ขาย หรือกระทรวงการคลังจะรับโอน มาขายเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง การศึกษาร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก" แหล่งข่าวเปิดเผย

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ส่วนหนึ่งมีความ เห็นเบื้องต้นว่า ควรโอนทรัพย์สิน ทั้งหมดไปให้กระทรวงการคลังจัดการเอง เพราะทรัพย์สินทั้งหมดถือว่าเป็นของกระทรวงการคลัง ของประเทศอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไปฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นคนบริหารเท่านั้น

นอกจากนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ยังไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเหมือนการขายหุ้นธนาคารไทยธนาคารให้กับธนาคารของมาเลเซีย จนถูกกระทรวงการคลังสมัยรัฐบาลที่ผ่านมาตั้งกรรมการสอบว่าการขายหุ้นเพิ่มทุนทำให้รัฐเกิดความเสียหาย

ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้มีปัญหาในการขายทรัพย์สินรอการขาย เหมือนกรณีของที่ดินรัชดา ภิเษก แก่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาอดีตนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของทรัพย์สินรอการขายขณะนี้ไม่น่าใช่ปัญหาสำคัญ เพราะเหลืออยู่ในจำนวนที่น้อยมาก แต่เรื่องที่อ่อนไหวมากอยู่ที่การขายหุ้นธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ งบดุลของกองทุนฟื้นฟูฯ งวด 30 ก.ย. 2551 มีสินทรัพย์ 2.26 แสนล้านบาท รายการที่สำคัญประกอบด้วย ทรัพย์สินหมุนเวียน 2.91 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนในบริษัท 9.85 หมื่นล้านบาท สิทธิ รับชำระหนี้ตามโครงการช่วยเหลือ 9.33 หมื่นล้านบาท และลูกหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน 5,067 ล้านบาท

แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับรมว. คลัง เปิดเผยว่า หุ้นของธนาคารนครหลวงไทยนั้นจะขายออกอย่างแน่นอน แต่ในส่วนของธนาคารกรุงไทยนั้นกระทรวงการคลังจะถือไว้ต่อไป เพราะเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้
 
http://www.posttoday.com/finance.php?id=46842



Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

บัณฑูร เปิดคาถา สอนเถ้าแก่ยามฟ้าถล่ม

รายงานโดย :เบญจมาศ เลิศไพบูลย์:
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
เมื่อปัญหาชีวิตถาโถมเข้ามา เราจะใช้สติตั้งรับเพื่อพยุงกำลังใจให้ลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหาอย่างไร

บัณฑูร ล่ำซำ
นี่ไม่ใช่หัวข้อในการปาฐกถาเปิดโครงการอบรม "เค เอสเอ็มอี แคร์ รุ่นที่ 9" ของธนาคารกสิกรไทย แต่เป็นเสี้ยวส่วนสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของ "บัณฑูร ล่ำซำ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งน่าสนใจตั้งแต่ประโยคแรก
เจ้าสัวบัณฑูร นำบทเรียนและวิธีคิดมาบอกต่อไปยังผู้ประกอบการที่มีเลือดความเป็นนักสู้ หากช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตเกิดวิกฤต "ฟ้าถล่ม" มีแต่ข่าวร้าย ไม่เคยเห็นข่าวดี คาถาที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้ใช้วิธี "นำปัญหาใหญ่หั่นให้เป็นชิ้นเล็ก" เพราะปัญหาใหญ่ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในวันเดียว
"ยิ่งปัญหาใหญ่ วิธีแก้ยิ่งยาก ใช้วิธีหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วพิจารณาว่าองค์ประกอบของปัญหานั้นคืออะไร ไม่ใช่เอาแต่ตีอก ชกหัว" บัณฑูร กล่าว

ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยก็เคยก้าวข้ามวันที่ฟ้าถล่มในช่วงปี 2539 ซึ่งเป็นช่วงที่สถาบันการเงินทั้งประเทศล้มทั้งระบบ ช่วงขณะนั้นไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าการประกาศขาดทุน 3 หมื่นล้านบาท ฝ่ายบริหารจึงต้องจัดลำดับขั้นสิ่งที่ต้องทำก่อนและหลัง ซึ่งพบว่าสิ่งที่ต้องทำคือ บริหารหนี้เสียไม่ให้เลวร้ายลง จากนั้นเตรียมตัวเพิ่มทุน

บัณฑูร เชื่อว่า ชีวิตมีขึ้นมีลง แต่ระหว่างทางของชีวิตที่ขึ้นและลง ควรใช้สติในการแยกปัญหา ที่สำคัญทุกคนควรรักษาความสมดุลของชีวิต อย่าปล่อยให้ร่างกายเครียดจนล้มลง ให้คิดว่าชีวิตคนเหมือนเรือใบ บางจังหวะลู่ลม บางจังหวะขวางลม ไม่ทำให้ตึงหรือหย่อนเกินไป

ยังมียาดีดับอาการมืดแปดด้าน ท่องเป็นคาถากันภัยสำหรับการทำธุรกิจ อย่างแรก ผู้ประกอบการต้องรู้จักควบคุมค่าใช้จ่าย แต่การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การลดจำนวนพนักงาน เพราะการลดจำนวนคนเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง ให้ดูตัวอย่างบริษัทในญี่ปุ่นที่ให้ผลตอบแทนพนักงานสูง ไม่เคยกดค่าแรง เพื่อแลกกับความสามารถในการคิดค้นสิ่งที่คุ้มค่าซึ่งได้มากกว่าค่าแรง เป็นการใช้แรงงานอย่างมีประสิทธิผล เพราะความหมายของเงิน 1 บาทในค่าแรง สามารถสร้างสิ่งที่มีคุณค่ากลับมาให้องค์กร

ต่อมาผู้ประกอบการต้องรู้จักตลาดใหม่ อย่างประเทศในตะวันออกกลางก็เป็นประเทศที่มีกำลังซื้อ และสุดท้ายให้คิดข้ามช็อต เถ้าแก่จะต้องรู้จักมองอนาคต ให้คิดว่าหากธุรกิจฟื้นกลับฉันจะทำอะไร ฉันมีสินค้าอะไรอยู่ในกระเป๋า แม้ขณะนี้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีไม่มาก แต่เถ้าแก่จะต้องไม่หยุดคิด เพราะระหว่างที่โลกมืดก็ต้องมีคราวที่ความสว่างกลับคืนมา

บัณฑูร บอกว่า มีคำคำหนึ่งที่เถ้าแก่ต้องพึงระลึกไว้เสมอคือ เป็นเถ้าแก่จะหยุดคิด ไม่ได้ เถ้าแก่จะเป็นคนแรกขององค์กรที่คิดสินค้า หากหยุดคิดเมื่อใดก็จะมีคู่แข่งแย่งลูกค้าทันที

"การบริหารชีวิตของเถ้าแก่แต่ละวันคือ การตีกรอบโจทย์เพื่อสื่อความไปยังผู้จัดการ เพื่อให้ผู้จัดการตื่นเช้าขึ้นมาจับประเด็นสำคัญๆ นั่นคือการสร้างยุทธศาสตร์ ทำออกมาเป็นกรอบความคิดธุรกิจ จากนั้นผู้จัดการก็จะส่งผ่านไปยังพนักงานให้รู้ว่าบริษัทมีแผนยุทธศาสตร์อย่างไร ผู้จัดการต้องมีวาทศิลป์ ทำให้ทุกคนเข้าร่วม แต่สิ่งสำคัญคือ เถ้าแก่จะต้องคิดให้ชัดเจน ถ้าคิดไม่ชัดเจนก็จะนำไปสู่การทำสะเปะสะปะ" บัณฑูร กล่าว

บัณฑูร ยกตัวอย่างธุรกิจการเงินว่า ปัจจุบันมีการแย่งบุคลากรมาก เป็นความน่ากลัวที่เกิดขึ้นยิ่งกว่าการแย่งตัวลูกค้า การกระโดดข้ามองค์กรของธุรกิจการเงินเกิดขึ้นเร็วมาก และคนที่มีความรู้ไม่เพียงจบการศึกษาระดับปริญญา แต่ในทางกลับกันคนเหล่านี้เป็นบุคลากรที่ทำผลงานสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้หาตัวจับยาก และเป็นที่ต้องการของตลาดเมื่อเทียบกับบุคลากรที่ทำงานตามสั่ง คนกลุ่มนี้หาง่าย ยิ่งคนที่มีความรู้หลายด้าน มีองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ก็ยิ่งต้อง ประคบประหงม และองค์กรต้องรู้จักให้ กำลังใจ ฉะนั้นโจทย์ของเถ้าแก่ในปัจจุบันจึงมีเรื่องทรัพยากรมนุษย์ให้คิดอีกเรื่องหนึ่ง

"การรักษาคนเก่าไม่มีสูตรตายตัว การแย่งคนหรือพัฒนาคนในองค์กรให้มีความรู้จึงเป็นโจทย์อย่างหนึ่ง แต่เมื่อถึงขั้นหนึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็อาจพร้อมที่จะย้ายไปอยู่กับบริษัทขนาดใหญ่ขึ้น ฉะนั้นเรื่องผลตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งที่ตามมาคือเรื่องของใจ ถ้าผลตอบแทนดี แต่ใจไม่อยู่ คนเหล่านั้นก็จะย้ายไปที่อื่น หรือหากใจยังอยู่ แต่ผลตอบแทนไม่พอ ใจก็อยู่ไม่ไหว นี่จึงเป็นโจทย์ของเถ้าแก่ที่ต้องรู้จักบริหารมนุษย์ให้มีกำลังใจ" บัณฑูร กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่บัณฑูรชอบย้ำให้กับเถ้าแก่น้อยรุ่นใหม่ได้คิดนั่นคือ โจทย์สำคัญ 2 เรื่อง เรื่องแรก เถ้าแก่ต้องทายความต้องการของตลาดให้ถูก ทั้งสินค้าและบริการ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องรู้จักคิดก่อนคนอื่น หากยังอยู่กับสินค้าแบบเดิมก็ต้องเพิ่มศักยภาพของสินค้าเหล่านั้น และควรคิดให้ไกลออกไปอีก 5-10 ปี เพราะมนุษย์มีความต้องการต่อเนื่อง และมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อีกเรื่อง เถ้าแก่ต้องบริหารต้นทุนไม่ให้สูงเกินไป ตัวอย่างมีให้เห็นในบริษัทรถยนต์ของสหรัฐที่ล้วนเป็นบริษัทผู้ยิ่งใหญ่ในระบบทุนนิยม แต่ขณะนี้บริษัทเหล่านั้นเจ๊งหมด และก็ถือว่าสมควรเจ๊ง เพราะมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน

นี่เป็นเรื่องเล่านอกตำราของติวเตอร์ จากลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ยกขึ้นมาเพิ่มสติให้กับคนที่ไม่ยอมแพ้
 
http://www.posttoday.com/finance.php?id=47777



Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

‘นาฬิกาโหลแก้ว’ ใส่ไอเดียขายได้ทุกเทศกาล

วันที่ 16 พฤษภาคม 2552 เวลา 00:02 น.
 
'นาฬิกาโหลแก้ว' ใส่ไอเดียขายได้ทุกเทศกาล
"งานประดิษฐ์" ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นงานไอเดีย อยู่แล้ว ปัจจุบันมีผู้ทำขายกันมากมายหลากหลายชนิด อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าตลาดจะตันแล้ว หากสามารถใส่ไอเดียเพิ่มเติมให้แปลกใหม่มากขึ้นอยู่ตลอด ก็จะสร้าง "ช่องทางทำกิน" ได้อย่างต่อเนื่อง อย่างงาน "นาฬิกาโหลแก้ว" นี่ก็ทำเงินได้เป็นอย่างดี....
 
ไขแสง ร่มโพธิ์ทอง เป็นเจ้าของไอเดีย "นาฬิกา โหลแก้ว" งานแฮนด์เมดที่นำโหลแก้วมาตกแต่งด้วยวัสดุต่าง ๆ แล้วใส่นาฬิกาเข้าไปด้วย เจ้าตัวเล่าว่า ชอบงานประดิษฐ์มาตั้งแต่เด็กแล้ว ช่วงที่เรียนอยู่ก็ทำงานประดิษฐ์พวกกรอบรูปให้เพื่อน ๆ ในวันสำคัญ และเคยทำงานศิลปะพวกนาฬิกาไปขายที่สวนจตุจักรวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งตอนนั้นก็ทำ  เล่น ๆ พอช่วง ปี 2540 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดนออกจากงานประจำและอยู่ในช่วงที่กำลังจะเรียนจบด้วย จึงทำงานด้านศิลปะ-ทำนาฬิกาประดิษฐ์ขายแบบจริงจัง
 
"งานกลุ่มนี้มีคนทำออกมาขายกันมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่สินค้าเราจะสู้ได้จะต้องสร้างผลงานที่มีความแปลกแตกต่าง ฉีกแนวไปจากคนอื่น สินค้าเราถึงจะได้รับความสนใจ"
 
งานแรกที่ทำก็จะเป็นงานกรอบรูปนาฬิกาที่ตกแต่งเป็นรูปแบบต่าง ๆ ส่วนนาฬิกาโหลแก้วนั้นมาคิดทำภายหลัง โดยมองว่าโหลแก้วนั้นมีรูปทรงหลากหลาย น่าจะนำมาเป็นวัสดุและตกแต่งทำเป็นนาฬิกาได้ อีกทั้งจะเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ด้วย จึงทดลองทำออกขาย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งงานชิ้นนี้มีวิธีการทำที่ไม่ยาก สามารถฝึกฝนได้ แต่ที่ยากคือขั้นตอนการออกแบบรูปแบบนาฬิกามากกว่า
 
รูปแบบของนาฬิกาโหลแก้ว รวมถึงนาฬิกากรอบรูป จะต้องมีหลากหลายไว้ให้ลูกค้าได้เลือก ที่สำคัญสามารถออกแบบตกแต่งให้เข้ากับเทศกาล วันสำคัญต่าง ๆ ได้ เช่น แต่งงาน รับปริญญา ปีใหม่ เป็นต้น
 
วัสดุอุปกรณ์ในการทำนาฬิกาโหลแก้วนั้น หลัก ๆ มีดังนี้คือ... โหลแก้วทรงต่าง ๆ, เครื่องนาฬิกา, วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ประดิษฐ์ตกแต่ง, ซิลิโคน, แผ่นไม้อัด เป็นต้น โดยโหลแก้วนั้นจะต้องเป็นโหลที่ใหญ่พอที่จะใส่เครื่องนาฬิกาเข้าไปได้ ส่วนเครื่องนาฬิกานั้นจะใช้ 2 แบบ คือแบบที่เดินธรรมดา กับแบบที่มีตุ้มแกว่งได้...
 
ขั้นตอนการทำเริ่มจาก... ออกแบบชิ้นงานที่จะทำ จะได้รู้ว่าจะตกแต่งให้เป็นรูปแบบไหน จากนั้นก็เลือกหาวัสดุที่ต้องใช้ในการตกแต่ง เมื่อได้แบบและวัสดุตกแต่งก็ลงมือทำโดยเริ่มจากนำโหลแก้วไปล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นก็มาทำการขึ้นแบบหน้านาฬิกา โดยใช้แผ่นไม้อัดตัดเป็นรูปทรงตามแบบที่ออกแบบไว้ แล้วเจาะรูติดเครื่องนาฬิกาเข้าไป โดยแผ่นไม้จะต้องใหญ่พอที่จะบังเครื่องนาฬิกาไว้ได้ ทำการตกแต่งแบบหน้าของนาฬิกาตามไอเดีย เช่น ถ้าออกแบบเป็นแนวทะเลก็อาจจะใช้พวกทราย เปลือกหอย มาตกแต่ง ตรงนี้อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคน เมื่อตกแต่งเสร็จก็นำไปยึดติดกับฝาของโหลแก้ว ยึดนอตให้แน่น
 
ลำดับถัดไปก็เป็นการตกแต่งภายในโหลแก้วตามแบบที่ต้องการ โดยวัสดุที่ใช้ตกแต่งจะต้องยึดติดด้วยซิลิโคนเพื่อให้ติดแน่นไม่หลุด เมื่อตกแต่งเสร็จก็นำฝาที่มีเครื่องนาฬิกามาปิด เท่านี้ก็เรียบร้อย
 
"การติดเครื่องนาฬิกามีเคล็ดลับที่ทำให้นาฬิกาเดินตรงคือ ติดเครื่องนาฬิกาแล้วต้องจับเข็มนาฬิกาให้อยู่ที่เวลาเที่ยงตรงก่อน จากนั้นจึงตั้งเวลาตามจริง นาฬิกาก็จะเดินได้ตรง" ไขแสงแนะนำ
 
"นาฬิกาโหลแก้ว" ที่ไขแสงทำขายหลัก ๆ มี 4 แบบ แต่การตกแต่งจะหลากหลาย ราคาขายมีตั้งแต่ 250-390 บาท และยังมีกรอบรูปนาฬิกาที่มีรูปแบบมากมายรวมถึงรับสั่งทำตามแบบที่ลูกค้าต้องการด้วย
งานประดิษฐ์นาฬิกาใส่ศิลปะเจ้านี้มีขายที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 15 ซอย 1 พร้อมรับสั่งทำตามแบบ เบอร์โทรศัพท์คือ โทร. 08-1208-5818, 08-1840-0013 ทั้งนี้ หากใครมีความคิดสร้างสรรค์มีไอเดีย เลิศ ๆ แล้วนำมาใส่ในงานประดิษฐ์ให้เกิดความแตกต่าง ก็มีโอกาสแจ้งเกิด-ทำเงินงามได้ไม่ยาก.

บดินทร์  ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

 

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=73799&NewsType=2&Template=1



Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

‘ซ่อมคอมพ์ดิลิเวอรี่’ บริการถึงที่-ทำเงินถึงบ้าน

วันที่ 23 พฤษภาคม 2552 เวลา 00:02 น. |
 
'ซ่อมคอมพ์ดิลิเวอรี่' บริการถึงที่-ทำเงินถึงบ้าน
มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน คำกล่าวนี้ไม่เกินจริง แม้เศรษฐกิจจะฝืด แต่ถ้ามีหัวคิดรู้จักสร้างโอกาสจากความรู้ความชำนาญที่มีติดตัว จะอย่างไรก็ไม่มีคำว่าอดตาย อย่างเช่นอดีตครีเอทีฟเบื้องหลังรายการโทรทัศน์ ที่ปัจจุบันใช้ความรู้ด้านไอทีหันมาเอาดีกับอาชีพ "ซ่อมคอมพ์ดิลิเวอรี่" รายนี้...
อาร์ม-อนนท์ เนินทราย ซึ่งยึดอาชีพรับ "ซ่อมคอมพิวเตอร์ดิลิเวอรี่" เล่าว่า รู้สึกอิ่มตัวกับงานประจำที่ทำมากว่า 10 ปี  ประกอบกับอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น จึงมองหาลู่ทางทำธุรกิจเล็ก ๆ ก็คิดว่าความรู้และความชำนาญด้านคอมพิว เตอร์ที่มีอยู่น่าจะเป็นอาชีพได้ เพราะปกติก็รับซ่อมคอมพิวเตอร์ให้กับเพื่อนฝูงและคนรู้จักอยู่แล้ว เมื่อลาออกจากงานก็คิดที่จะเปิดร้านรับซ่อมคอมพิว เตอร์ แต่คิดว่าหากเปิดร้านต้องใช้เงินลงทุนมากโดยเฉพาะค่าเช่าสถานที่ อีกทั้งมองว่าการเปิดร้านอยู่กับที่เหมือนเป็นการนั่งรอลูกค้า จึงเกิดความคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นการออกไปให้บริการเองในรูปแบบดิลิเวอรี่น่าจะดีกว่า และตัดปัญหาเรื่องค่าเช่าร้านได้อีกด้วย
เรื่องลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ได้มองไว้ว่าในพื้นที่บ้านที่พักอาศัยมีหมู่บ้านจัดสรรมากกว่า 20 โครงการ บ้านแต่ละหลังน่าจะมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 1 เครื่อง ซึ่งถือว่ามีฐานลูกค้าที่กว้าง น่าจะเหมาะกับการเปิดให้บริการตรงจุด โดยหลังจากเปิดให้บริการมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าประจำอยู่ราว 10-15 ราย โดยส่วนใหญ่ต่างมีปัญหาเรื่องความไม่สะดวกในการยกเครื่องไปซ่อมที่ร้าน เนื่องจากต้องเดินทางไกล อีกทั้งลูกค้าหลายรายเป็นเพียงผู้ใช้งาน เมื่อต้องถอดประกอบเครื่องเองก็อาจจะทำได้ไม่ชำนาญนัก บริการตรงจุดนี้ก็เลยตอบโจทย์ของลูกค้าได้
"ส่วนใหญ่ลูกค้าเลือกใช้บริการเพราะความสะดวก แต่ต้องให้ลูกค้าเชื่อใจ-ไว้ใจก่อน เลยยึดหลักซ่อมไม่ได้ไม่คิดเงิน นอกจากนี้ยังใช้วิธีปิดสติกเกอร์ที่ตัวรถที่เราใช้เป็นร้านเคลื่อนที่ เพื่อยืนยันว่ามีหลักแหล่งแน่นอน ถ้าลูกค้าไม่สะดวกที่จะให้เราเข้าบ้าน ก็ยกเครื่องออกมาให้ซ่อมที่หน้าบ้านได้"
สำหรับบริการ ก็เช่นซ่อมหรือดูแลปัญหาพื้นฐาน คอมพิวเตอร์ติดไวรัส เปิด-ปิดเครื่องไม่ได้ หรือกู้ข้อมูลในเครื่อง ถ้าเครื่องอาการหนักก็มีบริการนำเครื่องไปส่งซ่อมที่ศูนย์บริการที่มีใบรับประกันให้ โดยคิดราคาเริ่มต้นที่ 350 บาท ใน 20 กิโลเมตรแรก ถ้าเกินจากนั้นก็จะคิดตามระยะทางจริงที่บวกเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย
"ถ้าถัวเฉลี่ยที่ราคาเริ่มต้นต่ำสุดที่ 350 บาท แล้วถ้าวันหนึ่ง ๆ มีลูกค้าไม่ต่ำกว่า 4 ราย ก็จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 1,400 บาท ถ้าได้ลูกค้าระดับนี้เดือนหนึ่งก็จะมีรายได้ราว 4 หมื่นบาท หักค่าใช้จ่ายราวครึ่งหนึ่งแล้วก็เหลือประมาณ 2 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าพออยู่ได้ไม่ลำบาก" เจ้าของอาชีพซ่อมคอมพ์ดิลิเวอรี่บอก
เจ้าของบริการรายนี้ให้แนวทางการเปิดให้บริการในรูปแบบดังกล่าวนี้อีกว่า อันดับแรกที่ต้องมีคือ การสร้างความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า เพราะจะทำให้ลูกค้าไว้ใจและเป็นการซื้อใจกันได้ อันดับต่อมาคือ การวางแผนการทำงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการสต๊อกอะไหล่ ซึ่งหากเป็นอาชีพอย่างอื่นการสต๊อกไว้มากอาจจะเป็นข้อดีในการบริหารงาน แต่สำหรับสินค้าประเภทไอทีแล้ว การสต๊อกไว้จำนวนมากจะไม่คุ้ม เพราะสินค้าประเภทนี้เปลี่ยนแปลงและตกรุ่นเร็วมาก จึงควรเป็นลักษณะซื้อและสต๊อกไว้เท่าที่จำเป็นจะดีกว่า
ทุนเบื้องต้นกับอาชีพนี้ ถ้าไม่รวมเรื่องพาหนะที่ใช้เดินทาง ก็จะใช้เงินลงทุนราว 2,000 บาทขึ้นไป เป็นค่าอุปกรณ์จำเป็น อาทิ ไขควง แผ่นโปรแกรม และอุปกรณ์ตรวจเช็กเครื่องต่าง ๆ โปรแกรมล้างไวรัส สายไฟหรือสายต่อพ่วง อุปกรณ์ทำความสะอาดเครื่อง โดยอุปกรณ์เหล่านี้หาซื้อได้ตามแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป ขณะที่ทุนอะไหล่ขึ้นอยู่กับความเสียหายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นค่าอะไหล่และอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยน แต่บางงานอาจไม่มีทุนในส่วนนี้ กรณีที่แค่ล้างเครื่อง หรือกรณีที่ไม่มีการเสียหาย
ขั้นตอนให้บริการ เมื่อลูกค้าติดต่อเข้ามาอันดับแรกจะเป็นการถามถึงอาการเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะได้จัดเตรียมอุปกรณ์ไปให้ตรงกับปัญหา เมื่อไปถึงจะให้ลูกค้ากรอกข้อมูลที่มีอยู่ภายในเครื่อง อาทิ ไฟล์สำคัญ, โปรแกรมที่มีอยู่เดิม, อาการที่พบ จากนั้นก็ตรวจสอบจุดผิดปกติที่ทำให้เกิดอาการ จากนั้นจึงทำการแก้ไขอาการที่เกิดขึ้น และทดสอบต่อหน้าลูกค้าเมื่อซ่อมเสร็จแล้ว ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำงาน
"คุณสมบัติของคนทำอาชีพนี้ที่ต้องมีคือ ความรู้และทักษะในการซ่อม ความน่าเชื่อถือ ต้องซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เพราะอาชีพนี้ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันถือว่าสำคัญมาก" อนนท์กล่าว
"ซ่อมคอมพ์ดิลิเวอรี่" รายนี้มีฐานอยู่ที่ 56/145 หมู่บ้านเพชรอนันต์ ถนนไสวประชาราษฎร์ (คลอง 4) ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ลูกค้าติดต่อใช้บริการได้ที่ โทร.08-1848-7667 หรือทางอีเมล fixcom.delivery@gmail.com ทั้งนี้ นี่ก็เป็นอีก "ช่องทางทำกิน" ที่น่าสนใจในยุคไอทีฟีเวอร์.

ศิริโรจน์  ศิริแพทย์

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74087&NewsType=2&Template=1


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สร้างนักขับรถมืออาชีพโครงการดีที่ให้อาชีพได้จริงๆ

วันที่ 11 พฤษภาคม 2552 เวลา 09:28 น.
 
 
สร้างนักขับรถมืออาชีพโครงการดีที่ให้อาชีพได้จริงๆ
ในช่วงที่การบ้านการเมืองอยู่ในช่วงที่ไม่สู้ดีนัก ผลกระทบที่ชัดเจนส่วนหนึ่งดูได้จากปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ กระทบกับประชาชนที่ทำงานเลี้ยงชีพตัวเองในแต่ละวันอย่าง ชัดเจน เพราะตัวเลขคนตกงานในประเทศนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลต้องหาทางแก้ปัญหากันเป็นระวิง ด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้แรงงานที่ไม่มีงานทำสามารถพยุงตัวเองได้ในช่วงวิกฤติดังกล่าว
 
ซึ่งหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลคือ กระทรวงคมนาคม ก็ได้ร่วมพลิกผันวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกเปิดสอนขับรถบรรทุกและรถโดยสารแก่ผู้ว่างงานฟรีพร้อมที่พักและ   ค่าเบี้ยเลี้ยง ภายใต้ชื่อโครงการ "สร้างนักขับรถมืออาชีพ" ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่ในช่วงว่างงาน เข้ารับการฝึกทักษะการขับรถเพื่อใช้รับส่งสินค้า เพื่อป้อนแรงงานที่ว่างอยู่เข้าสู่ระบบการทำงาน    อีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นการสร้างอาชีพและ   รายได้    
 
โครงการ "สร้างนักขับรถมืออาชีพ" เปิดรับผู้ว่างงานเข้าร่วมโครงการในหลักสูตร 1 เดือน ซึ่งสอนผู้ที่ขับรถขนาดเล็กเป็นแล้ว มาเรียนขับรถบรรทุกหรือรถโดยสารขนาดใหญ่เพื่อประกอบอาชีพ และหลักสูตร 2 เดือน สอนตั้งแต่ยังขับรถไม่เป็น จนสามารถขับรถขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สำหรับใช้ประกอบอาชีพได้ โดยเรียนรอบแรก เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ว่างงานสนใจเข้าร่วมโครงการจำนวนหลายร้อยคน
 
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ริเริ่มโครงการ กล่าวว่า โครงการ "สร้างนักขับรถมืออาชีพ" เป็นนโยบายช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ยังไม่มีใบอนุญาตขับรถบรรทุกและรถโดยสาร แบบมาแต่ตัว ให้เข้าเรียนฟรี พร้อมที่พักและค่าเบี้ยเลี้ยง โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) โดยหลักสูตร 1 เดือน ใช้เงินงบประมาณ 300,000 บาท ต่อรุ่น รุ่นละ 100 คน และหลักสูตร 2 เดือน ใช้งบประมาณ 430,000 บาท ต่อรุ่น ขณะนี้มีผู้เข้าโครงการที่เรียนจบหลักสูตร จำนวนทั้งสิ้น 213 คน ทั้งนี้ตลอดปี 2552 นี้ จะมีผู้ว่างงานที่เข้าโครงการทยอยเรียนจบหลักสูตรออกสู่ตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
หลังจากผ่านการอบรมแล้วทางกรมฯมีการประสานผู้ฝึกอบรมเข้าสู่บริษัทต่าง ๆ ที่มีความมั่นคงในการทำงาน ทั้งนี้มีบริษัทเอกชนรับผู้เข้าฝึกอบรมเข้าทำงานแล้วจำนวนมาก เช่น บริษัท กระดาษดับเบิ้ลเอ จำกัด, บริษัท ไทยชูรส จำกัด, บริษัท กิตติสุนทร จำกัด และอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าทำงานในบริษัท พรีเมียร์ เมโทรบัส จำกัด และ บริษัท กระดาษดับเบิ้ลเอ จำกัด อยู่ระหว่างพิจารณารับเพิ่มอีกกว่า 90 คน นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่หลายรายที่พร้อมรับเข้าทำงาน เช่น บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท ทีพีไอ คอนกรีต จำกัด, บริษัท นิปปอน เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท น่ำเฮง คอนกรีต (1992) จำกัด, บริษัท แอล    เอส จี สกายเชฟส์ จำกัด, บริษัท เพอร์เฟค ลอจิสติกส์ จำกัด, บริษัท ยุทธพรรณพัฒนา จำกัด, บริษัท เอกรัตน์ โปรดักส์ จำกัด และห้าง   หุ้นส่วนจำกัด ณัฐชาทรานสปอร์ต
 
นายอภิสิทธิ์ คำผุย อายุ 24 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้   เข้าโครงการที่ได้เข้าทำงานในบริษัท กระดาษดับเบิ้ลเอ จำกัด เล่าว่า        "โครงการนี้ช่วยพลิกชีวิตของผมให้มีอนาคตที่สดใสกว่าเดิมมาก ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นช่างเชื่อมเหล็กตามงานก่อสร้างต่าง ๆ ช่วงหลังเศรษฐกิจไม่ดี ถูกปลดจากงาน จนมาเข้าฝึกอบรมกับโครงการ นับเป็นความโชคดี ซึ่งผมกับเพื่อนอีก 10 คน ก็ได้รับเข้าทำงาน ส่วนเพื่อนในโครงการอีกประมาณ 60 กว่าคน อยู่ระหว่างการฝึกขับรถลากจูงเพื่อคัดเลือกเข้าทำงาน ทำให้ชีวิตผมกลับมามองเห็นอนาคตขึ้นอีกครั้ง"   
 
ด้าน นายธารชัย เยินสูงเนิน อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดลพบุรี  ปัจจุบันเป็นพนักงานขับรถของบริษัท กระดาษดับเบิ้ลเอ จำกัด เผยความรู้สึกว่า "ดีใจที่มีโครงการดี ๆ อย่างนี้ออกมา ก่อนหน้านี้ทำงานรับจ้างทั่วไปรายได้ไม่แน่นอน โดยช่วยญาติขับรถกระบะส่งของเป็นประจำแต่ไม่มีโอกาสได้เรียนขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ พอทราบข่าวโครงการนี้จึงเข้าร่วม  พอมาเรียนก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้อง ไม่ปลอดภัย เป็นการสร้างมาตรฐานของคนขับรถบรรทุกขึ้นใหม่"            
 
นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า หลังจากโครงการนี้ประสบความสำเร็จได้รับความสนใจจากผู้ว่างงานจำนวนมาก กระทรวงคมนาคมจึงได้มอบหมายให้กรมฯ ขยายโครงการไปยัง   ส่วนภูมิภาค โดยเตรียมขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการ       "ต้นกล้าอาชีพ" เพื่อเปิดสอนขับรถบรรทุกและรถโดยสารแก่ผู้ว่างงานทั่วประเทศ โดยขณะนี้จังหวัดขอนแก่นเปิดสอนขับรถบรรทุกและรถโดยสารแก่ผู้ว่างงานแล้ว และคาดว่าจะเปิดสอนได้ในอีก 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก กำแพงเพชร สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และจังหวัดชลบุรี ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายรับผู้ว่างงานเข้าโครงการจังหวัดละ 1,000 คน  ทั้งนี้บริษัทเอกชนที่สนใจรับผู้สำเร็จหลักสูตรเข้าทำงาน ติดต่อที่ ส่วนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการขับรถ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร หมายเลขโทรศัพท์ 0-2272-3260 หรือคอลเซ็นเตอร์ หมายเลข 1584 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ
 
แม้ในช่วงเศรษฐกิจที่ผ่านมารัฐบาลหรือหลายหน่วยงานจะผุดโครงการต่าง ๆ ออกมาช่วยประชาชนเป็นระยะซึ่งภาพการแก้ไขปัญหายังไม่เด่นชัดนัก แต่สำหรับโครงการสร้างนักขับมืออาชีพ สร้างอาชีพได้เห็นผลจริง.
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=198726&NewsType=1&Template=1

Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

18 June 2009 Room 211,212 At BITEC,Bangkok,Thailand

กำหนดการ

Programme

9.00 – 9.30 Registration

9.30 – 10.00 􀁹 Introduction to Clarified PP : What is Clarified PP and applications

10.00 – 10.45 􀁹 Introduction to Millad NX8000 Latest Clarifier Technology

10.45 – 11.00 Coffee Break

11.00 – 11.45 􀁹 Clarified PP as a potential material replacement for other polymers

11.45 – 12.00 Questions and Answers

Speaker : * Dr.Zhaolin Zhou

Business Director

Milliken Chemical Co.,Ltd.

Co-speaker : * Mr.Pisan Uawithya

Country Manager

Milliken Chemical Co.,Ltd.

Registration Form

Name Mr./Mrs./Ms.:.......................................................................................................................Postition :..................................................................

Name Mr./Mrs./Ms.:.......................................................................................................................Postition :..................................................................

Company :..............................................................................................................................................................................................................................

Company Activity :.............................................................................................................................................................................................................

Address....................................................................................................................................................................................................................................

.......................................................................................................................................... Post Code :..................................................................................

Tel: .................................................................Fax:.............................................. E-mail :…................................................................................................

* Free of charge

THAI PACKAGING CENTRE ,THAILAND INSTITUTE OF SCIENTIFIC AND TECHNOLOGICAL RESEARCH

Seminar on

"A Novel PP Clarifying Agent Creates a New Industry Standard"

18 June 2009 Room 211,212 At BITEC,Bangkok,Thailand

For more information please contact : Ms.Oncharee Prechachan/Ms.Kanjana Dummananda

Thai Packaging Centre, Thailand Institute of Scientific and Technological Research

196 Phahonyothin Road, Chatuchak Bangkok 10900 Tel : +662 579 0160, 579 5515 Ext. 3208,3209 Fax : 662 579 7573, 561 4771

E-mail :
tpc-tistr@tistr.or.th Please attach fax/e-mail: before June 12,2009


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไปรษณีย์ไทย มอบส่วนลดแสตมป์ E-commerce สำหรับผู้ประกอบการ SMEs



 From: สสว. <jintana@sme.go.th>
Date: พ.ค. 13, 2009 6:03 หลังเที่ยง
Subject: ไปรษณีย์ไทย มอบส่วนลดแสตมป์ E-commerce สำหรับผู้ประกอบการ SMEs
 

ในกรณีที่ไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ กรุณาเข้าโดยตรงที่ url -> http://cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=EMAIL-13052552

เรื่อง (Subject) :  ไปรษณีย์ไทย มอบส่วนลดแสตมป์ E-commerce สำหรับผู้ประกอบการ SMEs
เรียน สมาชิก สสว.

 

ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว.  โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผนและจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอมอบแก่ท่านในขณะนี้ คือ ไปรษณีย์ไทย ขอมอบสิทธิประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ประกอบธุรกิจ E-commerce โดยสามารถใช้ได้อย่างสะดวก และประหยัดกว่าเดิมถึง 20% (จากการส่งปกติ) สามารถนำแสตมป์ดังกล่าวติดกับพัสดุแล้วส่งได้ทันที โดยผู้สนใจซื้อแสตมป์ดังกล่าว จะต้องเป็นสมาชิกของสมาคม E-commerce ค่ะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมฯ แต่มีหนังสือจดทะเบียนพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็สามารถสมัครเป็นสมาชิกของทางสมาคม E-commerce ได้อย่างง่ายดาย ที่ http://www.thaiecommerce.org/ คลิกที่ สมัครสมาชิกสมาคม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=01-OTHER-060509


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ ฝ่ายตลาดตราไปรษณียากร
โทร. 0-2631-3853
หรือทางเว็บไซต์ http://postemart.thailandpost.com/

 

*** ผู้สนใจกรุณาติดต่อโดยตรงตามเบอร์โทรด้านบนค่ะ ***

 

แจ้งข่าวสารโดย :  ศูนย์สารสนเทศและเทคโนโลยี
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

 

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Batch: 074/05/ZY369

British National Lottery
P O Box 10103b Liverpool,
L30 1RD United Kingdom
Ref: UK/9420X2/68
Batch: 074/05/ZY369

This is to inform you that you have been
selected for a cash prize of £1,200,000
(British Pounds) held on the 30th of April
2009 in London (United Kingdom).The
selection process was carried out through
random selection in Our computerized email
selection system (ESS) London Uk. Fill the
below:

Names:
Address:
Country:
Phone No:
Occupation:
Age:
Sex:

Agent Name:Mr. Richard Carpenter
Tel:+44-7035-9129-03
Email:(richard.carpenter07@msn.com)

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

"ซายน์พาร์ค" เปิดเอกสารออนไลน์ฟรี

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11379 มติชนรายวัน


"ซายน์พาร์ค" เปิดเอกสารออนไลน์ฟรี


คอลัมน์ จูนคลื่น

โดย waisang@matichon.co.th




อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (ซายน์พาร์ค) เปิดตัว TSP E-Newsletter บริการข่าวออนไลน์ฉบับปฐมฤกษ์ เสนอนวัตกรรม ความก้าวหน้า ข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการวิจัย-พัฒนา เพื่อเป็นแหล่งให้ข้อมูลที่ควรรู้แก่องค์กรที่มีความตื่นตัวต่อการดำเนินธุรกิจบนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี TSP E-Newsletter ฉบับแรกกับเรื่องราวเป็นประโยชน์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทดสอบเพื่อความปลอดภัยทางด้านอาหาร แนวโน้มการปรับตัวในอนาคต จากผู้บริหารระดับแนวหน้าของบริษัท ศูนย์วิทยาศาสตร์ ปัญหาที่เกิดจาก Foodborne Pathogen พบมากในผลิตภัณฑ์อาหารแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ เนื้อหาสาระและข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี หรือผู้ที่ต้องการทราบข่าวสารข้อมูล กิจกรรม การฝึกอบรม รวมทั้งบริการด้านการวิจัยและพัฒนาต่างๆ ที่ซายน์ปาร์คมีให้แก่ภาคเอกชน



ใช้บริการได้ฟรี ที่ www.sciencepark.or.th

หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe03060552&sectionid=0147&day=2009-05-06


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

TRIDIชงระเบียบ 4 ฉบับอุดหนุนวิจัย "พัฒนาไฮเทค คน องค์กร สถาบัน"

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11379 มติชนรายวัน


TRIDIชงระเบียบ 4 ฉบับอุดหนุนวิจัย "พัฒนาไฮเทค คน องค์กร สถาบัน"





สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (TRIDI) เสนอให้ กทช. ออกระเบียบ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยเรื่องการอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมจำนวน 4 ฉบับ อันประกอบด้วย การอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ, การติดตามประเมินผล และการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ, การให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัยแก่บุคลากรโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และสุดท้ายคือการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และผลประโยชน์อันเกิดจากผลการวิจัย โดยระเบียบปี 2552 จะเปิดกว้างมากขึ้น และเอื้อประโยชน์สำหรับองค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลมากขึ้นอีกด้วย

ศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กทช.สนับสนุนในการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทำหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากร เทคโนโลยี ต่อยอดในการพัฒนาวงการโทรคมนาคมของประเทศ โดยกว่า 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (TRIDI) ได้สร้างผลงานออกมามากมาย ทั้งในส่วนของการสนับสนุนให้ทุนการศึกษา ภายใต้โครงการ NTC Scholarship เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และต้องการให้บุคลากรที่มีศักยภาพทางด้านโทรคมนาคมร่วมวิจัยและสร้างงานในชิ้นงานในการพัฒนาประเทศ

โดย รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติโทรคมนาคมแห่งชาติ (TRIDI) ได้ร่วมประชุมและวางแผนงานเพื่อวางระเบียบ กรอบแนวทางใหม่ โดยสรุปออกมาเป็นระเบียบ 4 ฉบับ ได้แก่
ฉบับที่ 1 การอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งเสริมสนับสนุนห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ในสถาบันการศึกษา หน่วยงานทั้งภาครัฐ-เอกชน ให้รางวัลในผลงานการวิจัยสำหรับผู้ที่สมควรได้ และในส่วนของผู้ประกอบการด้วย

ฉบับที่ 2 การติดตามประเมินผลและการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการพิจารณางบประมาณ และควบคุมการดำเนินงานของฉบับที่ 1 ให้เกิดการรัดกุมและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดในการทำงาน

ฉบับที่ 3 การให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัยแก่บุคลากร มุ่งเน้นที่ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก โดยคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิและจากหลากหลายสถาบันของ กทช. ให้เป็นไปตามทิศทางของแผนแม่บทและความต้องการของประเทศ
ฉบับที่ 4 การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและผลประโยชน์อันเกิดจากผลการวิจัย ซึ่งกำหนดรูปแบบจัดการบริหารประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยของสถาบันฯ ด้านของผลงาน ชิ้นงานที่เกิดขึ้น

ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม กทช.กล่าวว่า เป้าหมายของ TRIDI คือ ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมขึ้นในประเทศ โดยปีนี้ TRIDI เล็งเห็นว่าบุคลากรที่มีศักยภาพไม่ได้มีจำกัดเพียงจุดใดจุดหนึ่ง อีกทั้งยังต้องการเพิ่มศักยภาพกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนของวงการโทรคมนาคมไทย ให้เกิดการพัฒนาทัดเทียมกับนานาประเทศ สนับสนุนการวิจัยต้นแบบอุปกรณ์โทรคมนาคม เพื่อพัฒนาอุปกรณ์โทรคมนาคมในประเทศ และยังเป็นการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ อาทิ Broadband Access, NGN, Short Range, RFID, VoIP เป็นต้น วางงบประมาณให้ทุนวิจัยและพัฒนาบุคลากร 30 ล้านบาท และจะทำการเปิดรับข้อเสนอในเดือนพฤษภาคม 2552 นี้ ส่วนทุนพัฒนาศักยภาพงานวิจัย ทุนการศึกษา สนับสนุนภาคการศึกษาและเอกชนไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท

หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe02060552&sectionid=0147&day=2009-05-06



Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.

ด้วยสมองและสองมือ : อุปกรณ์ช่วยผ่าตัดโรคมือชา สิ่งประดิษฐ์ช่วยชาติ ฝีมือ ม.อ.

ด้วยสมองและสองมือ : อุปกรณ์ช่วยผ่าตัดโรคมือชา สิ่งประดิษฐ์ช่วยชาติ ฝีมือ ม.อ.
ข่าววันที่ 4 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

            อุปกรณ์ช่วยผ่าตัดโรคมือชา สิ่งประดิษฐ์ช่วยชาติ ฝีมือ ม.อ.

               

                คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ยกย่องสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) "อุปกรณ์ช่วยถ่างและส่องมองเนื้อเยื่อภายใน สำหรับช่วยผ่าตัดรักษาโรคมือชา" (PSU Carpal Tunnel Retractor) ขึ้นทำเนียบสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประจำปี 2552

                โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้ต้องเรียกว่า "จิ๋วแต่แจ๋ว" เพราะนอกจากรูปทรงเล็กกระทัดรัดแล้วประสิทธิภาพยังสูงด้วย ผศ.นพ.สุนทร วงษ์ศิริ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ ม.อ.หัวหน้าทีมนักประดิษฐ์ เผยว่า           

"ประเด็นสำคัญคือต้องการอุปกรณ์ที่ช่วยให้การผ่าตัดรักษาเลาะพังผืดรัดข้อมือ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำเกิดโรคมือชาได้ง่ายขึ้น แผลผ่าตัดต้องมีขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงการใช้ยาสลบ โดยอุปกรณ์นี้จะช่วยถ่างและส่องมองเนื้อเยื่อภายในขณะผ่าตัด และใช้เวลาเพียง 8-15 นาทีต่อราย ทั้งนี้แผลผ่าตัดยังมีขนาดเล็กเพียง 1.5-1.8 เซนติเมตร ผู้ป่วยเจ็บแผลน้อยไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการชาดีขึ้นใน 1-2 วัน"

                ผศ.นพ.สุนทร ยังบอกว่า อุปกรณ์ใหม่นี้ใช้ดีกว่าการผ่าตัดแบบเก่า ลดการใช้ทรัพยากรและบุคลากรทางการแพทย์ คือไม่ต้องใช้ทีมผู้ช่วยในการผ่าตัด ไม่ต้องใช้ทีมวิสัญญีแพทย์ในการดมยาสลบ และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วย มากกว่าวิธีผ่าตัดแบบเดิมที่ต้องผ่าตัดแบบส่องกล้อง

                ...เหนือกว่านั้น อุปกรณ์ผ่าตัดโรคมือชาแบบใหม่นี้ ผลิตด้วยวัสดุในต่างประเทศ ทำจากสแตนเลส ที่มีความทนทานมิหนำซ้ำต้นทุนผลิตต่ำราคาประมาณ 3,000 บาทต่อชิ้น และได้รับการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว        

               

**                **                **                **                **

                รู้ไว้ใช่ว่าโรคพังผืดรัดเส้นประสาทข้อมือ พบมากในเพศหญิงช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะผู้ที่เคยมีบุตร และมีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ โรคไทรอยด์เป็นพิษ ลักษณะอาการบ่งชี้ คืออาการชาที่มือ นิ้ว และปลายนิ้วมือช่วงเวลากลางคืนหรือเช้าตรู่ ผู้ที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการชาตลอดเวลา หากอ่อนแรงที่มือมากขึ้น แสดงว่าเส้นประสาทถูกกดทับมากและอาจสูญเสียการทำงานของเส้นประสาทอย่างถาวร

                การรักษาเบื้องต้นจะใช้ยา การบริหารข้อมือ แช่ในน้ำอุ่น ใส่เครื่องช่วยพยุงมือ หากขั้นร้ายแรงคือต้องผ่าตัดเลาะพังผืดที่รัดแน่นออก ซึ่งวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันใช้วิธีส่องกล้อง และต้องพักฟื้นนานถึง 2 สัปดาห์

                ------------------------------------------------------------

 

                บรรยายภาพ

                ภาพ 1 แบบจำลองการผ่าตัดด้วยอุปกรณ์แบบใหม่       

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=56&nid=37424
 


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เช่าสูทออนไลน์

วันที่ 6 พฤษภาคม 2552 เวลา 00:00 น. |
 
 
เช่าสูทออนไลน์
สูท เสื้อผ้าที่ต้องใช้ความประณีต ละเอียด ซับซ้อน ในการตัดเย็บ ก็มีร้าน รับสั่งตัด และบริการให้เช่าระบบออนไลน์ กันแล้ว

ท่าจะเป็นเทคโนโลยีที่แทรกไปทั่วทุกประเภทการค้าซะละมั้ง

มหาลัยดอตคอม www.marhalai. com คือเว็บไซต์ของ หจก.กิจการนิสิต อยู่ ในซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว/70 กรุงเทพฯ ดำเนินธุรกิจให้เช่าสูท ชุดสากลสำเร็จรูป และรับตัดชุดสูทใหม่ สามารถสั่งจอง และเช่าสูทสำเร็จรูปผ่านทางเว็บไซต์ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปถึงร้านด้วยตัวเอง

สามารถวัดตัว (เอง) แบบง่าย ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ ตัดเสร็จมีบริการนำชุดไปส่งให้ถึงสถาบันการศึกษา หรือ สำนักงานตามที่ต้องการซะด้วย

เว็บนี้น่าจะถือเป็นตัวอย่างของคนที่อยากทำธุรกิจออนไลน์ แต่นึกไม่ออกว่าจะออกแบบ จัดหน้าตาอย่างไร เพราะไม่ได้ทำให้ซับซ้อน ไม่เน้นเทคนิควูบวาบ ยุ่งยาก มีเพียงภาพตุ๊กตาหมีสวมเสื้อครุยจากนานามหาวิทยาลัยสื่อถึงการให้บริการกับบัณฑิตใหม่ วัยรุ่น อยู่ตรงแถบเมนูเท่านั้น เนื้อหาก็เป็นข้อความที่ไม่ยาว ใช้ตัวขนาดใหญ่อ่านสบายตา ใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความ เช่น "เช่าสูทไซซ์ใหญ่ แวะมาก่อนเลยค่ะ" หรือ "กระโปรงไซซ์พิเศษ สำหรับซ้อมรับปริญญา/รับปริญญา อ๋อใส่เรียนก็มีนะคะ กระโปรงไซซ์พิเศษ สำหรับสาวอวบถ้าหาที่ไหนไม่ได้ มาสั่งที่นี่ได้เลยค่ะ Tailor made นะจ๊ะจะบอกให้" อธิบายกันจะจะ จนแทบไม่ต้องเสียเวลาถามซ้ำเชียวละ
พิชัย วีระวัฒนะกูล ผู้จัดการ หจก.กิจการนิสิต บอกว่าเคยทำเสื้อยืดขายส่งย่านประตูน้ำกับครอบครัว แต่เมื่อเผชิญกับการแข่งขันสูง จึงปรับมาผลิตชุดนักศึกษา กระโปรงนักศึกษา ขายส่งต่างจังหวัด ทำได้ระยะหนึ่งก็เห็นช่องทางใหม่ในการให้เช่าสูท เพราะทุกปีจะมีบัณฑิตจำนวนมากต้องใช้ในวันรับปริญญา

"การตัดสูท หมายถึงเสื้อนอกกับกางเกง หรือกระโปรง อาจต้องใช้เงิน 3,000-4,000 บาท แต่บัณฑิตใช้งานแค่ครั้งหรือสองครั้ง เราจึงลงทุนสั่งทอผ้าตัดสูทคุณภาพดีด้วยปริมาณมาก จนได้ราคาต่ำ สามารถตัดสูทใหม่ได้ชุดละ 1,800 บาท สูทแบบเดียวกันนี้พนักงานสำนักงานก็สั่งตัดได้"

พิชัยบอกว่า เปิดเว็บให้บริการ เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างนักศึกษากับทางร้านให้ติดต่อกันได้ง่าย และพยายามให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสูทไว้ทุกแง่มุม ทำให้เครื่องมือค้นหา (เสิร์ช เอนจิน) ของเว็บไซต์กูเกิ้ล จัดให้มหาลัยดอตคอมอยู่ในลำดับหนึ่ง สำหรับคำว่า "เช่าสูท" หรือ "สูทรับปริญญา" ซึ่งเป็นการขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ขึ้นเพราะจ่ายค่าโฆษณา

การเปิดเว็บไซต์นอกจากวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ยังมุ่งสร้างภาพลักษณ์ของร้าน เพื่อสร้างความแตกต่างจากร้านเช่าอื่น ๆ และผลของการติดอันดับแรกบนกูเกิ้ล ปรากฏว่าลูกค้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์มาจากเว็บค้นหาระดับโลกรายนี้ ที่เพื่อนบอกต่อมีอยู่ 5 เปอร์เซ็นต์ กลยุทธ์สำคัญ อยู่ที่ราคาไม่แพงเทียบกับรายอื่น ให้เวลาเช่าใช้นานกว่า

เว็บยังทำให้บัณฑิตติดต่อได้ตลอดเวลา เช่น บางรายส่งสูทคืนไม่ทันตามกำหนด ก็แจ้งผ่านเว็บขอคืนหลังกำหนดได้

สำหรับการวัดตัวเอง ซึ่งเป็นบริการที่ปรากฏอยู่ด้านซ้ายของเว็บ ก็แค่ให้ระบุว่า เอว ไหล่ ขนาดเท่าไหร่ ถ้าไม่มีสายวัดก็ดูจากเสื้อเชิ้ต กางเกง ที่มีอยู่ว่าขนาด เอวเท่าไหร่ คนสูง ก็ระบุความยาวของขามาด้วย

วิธีนี้ ทำให้มหาลัยดอตคอมได้ลูกค้า ทั้งพนักงานบริษัทในประเทศ และคนไทยที่อยู่เมืองนอก

แต่การชำระเงิน ยังใช้ระบบผ่านธนาคาร ลูกค้าต้องโอนเงินก่อน หลังจากได้รับโอนแล้ว ร้านจะนัดหมายการส่งชุดให้ทันที

พิชัย บอกว่า ที่ร้านมีช่างชำนาญงานจำนวนมาก จึงตัดและส่งให้ได้อย่างรวดเร็ว เช่นสั่งกระโปรงไซซ์ใหญ่ ก็สามารถส่งให้ได้ภายในสองวันทำการ

สำหรับเทคนิคการทำเว็บไซต์ มหาลัยดอตคอม ใช้เว็บสำเร็จรูป ด้วยเหตุผลว่า การทำเองไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเว็บไซต์ที่ดีต้องปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ ในขณะที่บริการเว็บสำเร็จรูปจะมีผู้ดูแลตลอด 24 ชั่วโมงและราคาไม่แพง

มีเว็บแบบนี้ คนที่อยู่ห่างไกล คนที่ไม่อยากไปร้าน ใช้บริการได้ทันทีจากที่บ้าน

สะดวกจนอยากตัดใหม่ทุกวันก็ ทำได้.
 

วีระพันธ์ โตมีบุญ
VeeraphanT@Gmail.com

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=198225&NewsType=1&Template=1


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

การใช้สารสะเดาเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช

วันที่ 29 เมษายน 2552 เวลา 00:00 น. |
 
การใช้สารสะเดาเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช
สะเดา เป็นพืชที่รู้จักกันดี ปัจจุบันยิ่งเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น เพราะสะเดามีคุณประโยชน์ทางด้านกำจัดแมลงศัตรูพืช ทดแทนการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม แต่สะเดาก็มีหลายพันธุ์ดังที่กรมส่งเสริมการเกษตรมีข้อมูลไว้ว่า สะเดา แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ  สะเดาอินเดีย สะเดาไทย สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม
 
ศ.ดร.ขวัญชัย สมบัติศิริ ภาควิชากีฏ วิทยา คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ เขียนหลักการและวิธีการใช้สะเดาป้องกันและกําจัดแมลงศัตรูพืชไว้ในเอกสารเผยแพร่ทางวิชาการ ฉบับที่ 1 โครงการเกษตรกู้ชาติ ม.เกษตรศาสตร์ ไว้ว่า เนื้อสะเดามีรสหวาน เป็นอาหารของนก และใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค นํ้ามันสะเดาที่สกัดได้จากเมล็ดในจะนําไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสบู่ ยาสีฟัน เป็นยารักษาเส้นผม เป็นยาคุมกําเนิด (โดยการฉีดนํ้ามันสะเดาเข้าไปในอวัยวะเพศหญิงฆ่าเชื้ออสุจิ) เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โรคเรื้อนโรคปวดตามข้อ แผลปวดตามข้อ แผลเป็นหนองแก้พิษแมลงกัดต่อย และใช้เป็นสารฆ่าแมลงบางชนิดภายหลังจากการสกัดนํ้ามันจากเมล็ดสะเดาแล้ว กากที่ เหลือสามารถนําไปสกัดด้วยแอลกอ ฮอล์หรือนํ้าเพื่อสกัดสารอะซาไดแรค ติน (azadirachtin) ใช้ทําเป็นสารฆ่าแมลง กากที่เหลือจากการสกัดครั้งนี้ เรียกว่า นีม เค้ก (neem cake) ยังสามารถใช้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น ผสมกับกากนํ้าตาลใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นปุ๋ยหรือผสมกับปุ๋ยยูเรียทําเป็นปุ๋ยละลายช้า เป็นสารฆ่าแมลงสารฆ่าโรคพืช และไส้เดือนฝอยบางชนิด
 
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร บอก ว่าสารอินทรีย์ที่สกัดได้จากเมล็ดสะเดาที่สำคัญ คือสารอะซาไดแรคติน สามารถออกฤทธิ์ในการป้องกันกำจัดได้หลายรูปแบบ คือเป็นสารฆ่าแมลง สารไล่แมลงทำให้แมลงไม่ชอบกินอาหาร ยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง การเจริญเติบโตผิดปกติทำให้หนอนไม่ลอกคราบหนอนตายในระยะลอกคราบ สารออกฤทธิ์มีผลต่อการสร้างฮอร์โมน ทำให้แมลงมีการผลิตไข่และการฟักไข่ลดน้อยลง แต่สารอะซาไดแรคตินจะมีอันตรายน้อยต่อมนุษย์และสัตว์ศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชและสภาพแวดล้อม จากการทดลองพบสารอะซาไดแรคติน มากที่สุดในเมล็ดสะเดา โดยเฉพาะ สะเดาอินเดีย พบปริมาณสูงที่สุด คือ  7.6 มก./กรัม โดยเฉลี่ย สะเดาไทยพบ 6.7 มก./กรัม โดยเฉลี่ย และสะเดาช้าง (ต้นเทียม) พบ 4.0 มก./กรัม โดยเฉลี่ย 
 
สำหรับวิธีนำสะเดามาทำเป็นสารสำหรับ กำจัดแมลงกรมส่งเสริมการเกษตรแนะไว้ดังนี้ ให้เอาเมล็ดสะเดาแห้งที่ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ดและเนื้อเมล็ด มาบดให้ละเอียดแล้วนำผงเมล็ดสะเดามาหมักกับน้ำในอัตรา 1 กิโลกรัม/น้ำ 20 ลิตร โดยใช้ผงสะเดาใส่ไว้ในถุงผ้าขาวบางแล้วนำไปแช่ในน้ำนาน 24 ชั่วโมง ใช้มือบีบถุงตรงส่วนของผงสะเดา เพื่อสารอะซาไดแรคตินที่อยู่ในผงสะเดาสลายตัวออกมาให้มากที่สุด เมื่อจะใช้ก็ยกถุงผ้าออก พยายามบีบถุงให้น้ำในผงสะเดาออกให้หมดแล้วนำไปฉีดป้องกันกำจัดแมลง ก่อนนำไปฉีดแมลงควรผสมสารจับใบเพื่อให้สารจับกับใบพืชได้ดีขึ้น 
 
ควรใช้สารสกัดนี้ ฉีดพ่นในเวลาเย็นจะมีผลในการฆ่าแมลงได้ดี ใช้ฉีดพ่น 5-7 วันต่อครั้ง และควรใช้สลับกับสารฆ่าแมลงเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเป็นช่วงที่แมลงระบาดอย่างรุนแรง ต้องใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น ซึ่งจะลดความเสียหายได้  รวดเร็ว 
 
ศ.ดร.ขวัญชัย บอกไว้ว่า การเก็บและรักษาผลหรือเมล็ดสะเดาที่ถูกต้อง จะช่วยให้สารออกฤทธิ์ในสะเดามีปริมาณสูงมีผลให้สารสกัดสะเดาที่สามารถใช้ป้องกันและกําจัด แมลงศัตรูพืชได้ผลดี การเก็บและรักษาผลหรือเมล็ดสะเดาที่ไม่ดีจะเกิดเชื้อราเข้าทําลายสารออกฤทธิ์ โดยเฉพาะสารอะซาไดแรคติน
 
วิธีการที่ถูกต้องเริ่มตั้งแต่การเก็บ ควรเก็บผลสะเดาที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้น หรือ เก็บผลสุกสีเหลืองจากกิ่งก็ได้ อย่าปล่อยทิ้งผลสะเดาที่ร่วง บนดินนานเกินไป จากนั้นนํามาผึ่งแดดประมาณ 2-3 สัปดาห์จนเปลือกสะเดาแห้งเป็นสีนํ้าตาลจึงนํามาผึ่งในร่มประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้เมล็ดในแห้งสนิท ขั้นตอนต่อไปคือเก็บบรรจุในถุงตาข่ายพลาสติกหรือกระสอบป่าน (ยกเว้น กระสอบปุ๋ย) ซึ่งสามารถวางซ้อนกันได้ โดยมีแผ่นไม้วางข้างล่างเพื่อป้องกันความชื้นจากดินการเก็บรักษาในลักษณะเป็นผลแห้งนี้จะนําไปใช้ได้เฉพาะการผลิตใช้เอง ไม่เหมาะที่จะนําไปผลิตเป็นอุตสาหกรรม (มีต่อในวันพุธหน้า).

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=197581&NewsType=1&Template=1
 
 
 
วันที่ 6 พฤษภาคม 2552 เวลา 00:02 น. |
 
 
การใช้สารสะเดาเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช(2)
พุธที่แล้วได้กล่าวถึงการใช้ สารสะเดาเพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืช แต่ยังไม่จบ ขอนำมาบอกต่อดังนี้...ข้อมูลโดย ศ.ดร.ขวัญชัย สมบัติศิริ แห่งภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ จากเอกสารเผยแพร่ทางวิชาการ เรื่อง หลักการและวิธีการใช้สะเดาป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช ระบุไว้ว่า การสกัดสารอะซาไดแรค ตินจากเมล็ดหรือผลสะเดาทําได้หลายวิธีด้วยกัน สิ่งที่สําคัญคือ ส่วนของสะเดาที่ใช้ต้องบดให้ละเอียด สําหรับตัวสกัดที่เหมาะสมในการผลิตเป็นการค้าคือ แอลกอฮอล์ อาจเป็นเอทิลแอลกอฮอล์หรือเมทิล แอลกอฮอล์ก็ได้ แต่เมทิลแอลกอฮอล์ราคาถูกกว่า มาก ถ้าใช้เมทิลแอลกอฮอล์ ต้องระวังอย่าให้เข้าปากหรือเข้าตา ในกระบวนการสกัดสารถ้าต้องการผลิตใช้เอง ตัวสกัดที่เหมาะสม คือ นํ้า ซึ่งเกษตรกรเป็นจํานวนไม่น้อยใช้น้ำในการสกัดสารจากผลสะเดาที่ได้จากผลแห้ง

"การสกัดเพื่อใช้เอง ให้นำผงสะเดาที่ ได้จากการบดผลสะเดาแห้ง จํานวน 10 กิโลกรัม ใส่ในภาชนะบรรจุ เติมนํ้าให้ท่วมประมาณ 200 ลิตร (ผงสะเดา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร) แช่ไว้นานประมาณ 24 ชั่วโมง ในระหว่างการแช่นํ้า อาจใช้ไม้ยาวกวนให้ผลสะเดารวมกับน้ำเป็นครั้งคราว เมื่อครบกําหนดเวลาจึงกรองนํ้ายาผ่านตาข่ายพลาสติกสีเขียว ในกรณีที่ใช้เครื่องพ่นสูบโยกที่ใช้แรงคน เกษตรกรบางรายที่ต้องการประหยัดผงสะเดา อาจแช่ครั้งแรกประมาณ 3 ชั่วโมงจึงกรองนํ้ายาออก จากนั้นเติมนํ้าลงไปในกากสะเดาใหม่ แต่ใช้นํ้าน้อยลง อาจเป็น 100-150 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง จึงกรองนํ้ายาไปใช้ นอกจากนั้น เกษตรกรอาจใช้แอลกอฮอล์ร่วมสกัดโดยการนําผงสะเดาที่รู้นํ้าหนักแล้ว บรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เติมเมทิลแอลกอฮอล์ให้ท่วมผงสะเดา จะแช่ไว้นานเท่าใดก็ได้ แต่อย่างน้อยควรนานกว่า 1 วัน จากนั้นนําผลสะเดาที่แช่ในแอลกอฮอล์ไปแช่ในนํ้า โดยคิดอัตราส่วน ผงสะเดา 1 กิโลกรัม (ไม่รวม นํ้าหนักของแอลกอฮอล์) ต่อนํ้า 20 ลิตร แช่ในนํ้าเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงกรองเหมือนวิธีเดิม..." ศ.ดร.ขวัญชัย กล่าว

ข้อมูลจาก กลุ่มส่งเสริมการผลิตและการจัดการผลผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรี บอกไว้ว่า ประสิทธิภาพของสารสะเดาต่อแมลงศัตรูพืช แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. ใช้สารสกัดสะเดาได้ผลดี เช่น หนอน กระทู้ผัก หนอนหลอดหอม หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ หนอนชอนใบ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอน กระทู้หอม เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไก่แจ้ หนอนแก้วส้ม หนอนผีเสื้อหัวกะโหลก

2. ใช้สารสะเดาได้ผลปานกลาง เช่น หนอนเจาะฝักถั่ว หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะดอกมะลิ หนอนแมลงวันเจาะต้นถั่ว หนอนเจาะยอดและผลมะเขือเทศ หนอนเจาะยอดคะน้า และแมลงหวี่ขาวยาสูบ

3. ใช้สารสะเดาไม่ได้ผล เช่น เพลี้ยไฟ มวนแดง มวนเขียว หมัดกระโดด เต่าแตงแดง เต่าแตงดำ ด้วงกุหลาบ และแมลงปีกแข็งอีกหลายชนิด

สำหรับการใช้สารสะเดาเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชนั้น สามารถใช้ได้หลายทาง คือ การใช้ทางดิน ตัวอย่างเช่น

1. ควบคุมตัวอ่อนด้วงหมัดผักในพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักกาดหัว คะน้า กะหล่ำดอก กวางตุ้ง เป็นต้น ให้หว่านเมล็ดสะเดาบดแห้ง หลัง ย้ายกล้าหรือหลังงอก 7-10 วัน อัตรา 20-25 กก. ต่อไร่ หรือโรยรอบโคนต้น อัตรา 2.5-3 กรัมต่อหลุม

2. ควบคุมหนอนแมลงวันเจาะโคนต้นถั่ว ในถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง ถั่วแระญี่ปุ่น ถั่วแขก ถั่วพู เป็นต้น ให้หว่านเมล็ดสะเดาบดแห้ง หลังจากถั่วงอกพ้นดิน 7-10 วัน อัตรา 10 หรือ 15 กก. ต่อไร่ หรือ 5 กรัมต่อหลุม

3. ควบคุมหนอนกระทู้ผักในแปลงหน่อไม้ฝรั่ง ให้โรยเมล็ดสะเดาบดรอบกอ อัตรา 5 กรัมต่อกอ ทุก 45-60 วัน

การหยอดยอด ใช้เมล็ดสะเดาบดแห้ง ผสมทรายหรือดินหรือขี้เลื่อยอัตราส่วน 1 : 1 โดยปริมาณ เพื่อควบคุมหนอนเจาะลำต้นข้าวโพดที่อาศัยหลบซ่อนบริเวณส่วนยอดในใบรูปกรวย แบ่งการหยอดเป็น 2 ครั้ง คือ ครั้งแรก เมื่อข้าวโพดอายุ 3-4 สัปดาห์ อัตรา 1 กรัมต่อยอด หรือ 8 กิโลกรัมต่อไร่ และหยอดอีกครั้งก่อนข้าวโพดออกดอกตัวผู้ในอัตราเดียวกัน

การพ่น นำเมล็ดสะเดาบด จำนวน 1 กิโลกรัม ห่อด้วยถุงผ้าแช่ในน้ำ 20 ลิตร ทิ้งไว้ ประมาณ 12 ชั่วโมง กวนเป็นครั้งคราว นำน้ำที่ผ่านการกรองแล้วไปผสมสารจับใบ พ่นที่ต้นพืชได้ทันที ทุก 5-7 วัน จนถึงใกล้เก็บเกี่ยว สามารถ ป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เต่าแตงแดง และดำ หนอนใยผัก หนอนหลอดหอม หนอนกระทู้ผัก หนอนคืบ หนอนแก้วส้ม หนอนเจาะฝักและผลได้

ข้อจำกัดของการใช้สารสกัดจากสะเดา

1. สารสกัดจากสะเดาไม่สามารถฆ่าแมลงได้ทุกชนิด โดยเฉพาะที่อยู่ในระยะตัวเต็มวัย

2. ในช่วงที่เกิดการระบาดรุนแรง การใช้สารสกัดสะเดาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถลดความเสียหายได้ทันทีเนื่องจากสะเดาไม่สามารถฆ่าแมลงได้ตายทันทีเหมือนสารเคมี

3. สารสกัดจากสะเดา สลายตัวอ่อนค่อนข้างไว ดังนั้นช่วงระยะเวลาในการฉีดพ่นจึงสั้นลงประมาณ 5-7 วันต่อครั้ง แต่ถ้าฉีดพ่นในโรงเก็บ
ไม่ถูกแสงแดดสามารถออกฤทธิ์ป้องกันกำจัดแมลงได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์

หมายเหตุ ขอขอบคุณข้อมูลจาก ศ.ดร. ขวัญชัย สมบัติศิริ และสำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรี.
 


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว/ FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/